แนวคิดนักบริหารกับมิติการจัดการ : Thomas J. Peters ผลงานที่ยอดเยี่ยม คือ
Insearch of Excellence
คุณสมบัติที่ทำให้องค์กรเป็นเลิศ 8 ประการ
1. การมุ่งเน้นที่การปฏิบัติ (Bias
for Action)
2. การมีความใกล้ชิดกับลูกค้า (Close
to the Customer)
3. การให้ความอิสระในการทำงานและสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของกิจการ (Autonomy
and Entrepreneurship)
4. การเพิ่มผลผลิตโดยพนักงาน (Productivity
Through People)
5. การติดตามงานอย่างใกล้ชิดและการใช้ค่านิยมเป็นแรงผลักดัน (Hands-on
and Value Driven)
6. การทำแต่ธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญ (Stick
to the Knitting)
7. การมีรูปแบบที่เรียบง่ายและใช้พนักงานอย่างมีประสิทธิภา (Simple
Form and Lean Staff)
8. การเข้มงวดและผ่อนปรนในเวลาเดียวกัน (Simultaneous
Loose tight Properties)
องค์ประกอบองค์การแห่งความเป็นเลิศ
1.
Robert H.Waterman
JR -- โรเบิร์ต เอช วอเทอร์แมน จูเนียร์ เป็นชาวอเมริกัน จบการศึกษา ปริญญาตรีgeophysicsจาก Colorado
School of Mines ปริญญาโท MBA จาก Stanford
University
ประวัติการทำงานWaterman เป็นที่รู้จักเคียงคู่กันมากับ Tom
Peters ที่โด่งดังมาจากผลงานวิจัยที่เอามาเขียนเป็นหนังสือ In
Search of Excellenceและยังเป็นนักพูดชั้นเยี่ยม เคยเป็นที่ปรึกษาให้กับ McKinsey & Company ที่เดียวกับ Tom Peters เป็นเวลา 21 ปี และมีบริษัทที่ปรึกษาของตนเองชื่อ The
Waterman Group, Inc. Waterman ใช้คำว่า Adhocracy กับองค์กร ที่นับเป็นจุดเน้น คำว่าองค์กรที่ถือหลักการ adhocracy จะเป็นองค์กรที่มีโครงสร้างเรียบง่าย ไม่สลับซับซ้อน
ท่านให้แนวคิดว่ายุคที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง
องค์กรต้องสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนั้นได้ สิ่งสำคัญที่องค์กรปัจจุบันต้องการมากคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนการใช้เทคนิคต่างๆในการแก้ปัญหาในหนังสือAdhocracy:
the Power to Change ท่านได้ใช้ทักษะจากการเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการมากว่า 25 ปี นำเสนอวิธีการในการที่จะสร้างองค์กรแบบ adhocracy และผลักดันให้มันทำงานได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างทีมงานและการแยกกระจายหน่วยงานที่ใหญ่และซับซ้อนออกเป็นหน่วยย่อย
สร้างวัฒนธรรมให้มุ่งเน้นการแก้ปัญหาอย่างเป็นธรรมชาติ
โธมัส เจ ปีเตอร์ส (Thomas J. Peters) และโรเบิร์ต
เอช วอเตอร์แมน จูเนียร์(Robert H.Waterman,Jr.) ในการค้นหาความเป็นเลิศ
ในช่วงต้นปี 1977 พบว่า
ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานนอกจากกลยุทธ์และโครงสร้าง ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์เชื่อมโยงกันทั้งหมด 7ปัจจัยได้แก่
- โครงสร้าง(structure)
- กลยุทธ์(strategy)
- บุคลากร(staff)
- สไตล์การจัดการ(style)
- ระบบ(systems)
- ค่านิยมร่วม(shared value)
- ทักษะ(skills)
ซึ่งตัวแปร 2 ตัวแรกคือโครงสร้างและกลยุทธ์
เปรียบเสมือนเป็นส่วนที่เรียกว่าฮาร์ดแวร์ ซึ่งผู้จัดการในอดีตให้ความสนใจ
ส่วนตัวแปรอีก5 ตัวที่ค้นพบใหม่ในอดีตผู้จัดการมักไม่ให้ความสนใจมากนัก
ซึ่งเปรียบเสมือนซอฟท์แวร์ แมคคินซีย์ เรียกตัวแปรเหล่านี้ว่า กรอบ 7 – S
การจัดองค์การให้มีประสิทธิภาพ
Thomas J. Peters & Robert H. Waterman,
Jr. เขียนในหนังสือชื่อ In Search of
lExcellence. เรียบเรียงเป็นไทยโดย วีรชัย ตันติวีระวิทยา(กทม: ซีเอ็ดยูเคชั่น,
2530) คุณลักษณะ 8 ประการของเชิงการบริหารของบริษัทอเมริกันที่ประสบความสำเร็จ คือ
1. มุ่งเน้นการปฏิบัติ (a bias for
action)
2. มีความใกล้ชิดกับลูกค้า (close
to the customer)
3. มีความอิสระในการทำงานและความรู้สึกเป็นเจ้าของกิจการ ((autonomy
and entrepreneur-ship)
4. เพิ่มผลผลิตโดยอาศัยพนักงาน (productivity
through people)
5. สัมผัสกับงานอย่างใกล้ชิดและความเชื่อมั่นในคุณค่าเป็นแรงผลักดัน (hands-on
and value driven)
6. ทำแต่ธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญและเกี่ยวเนื่อง (stick
to the knitting)
7. รูปแบบเรียบง่ายธรรมดา
พนักงานอำนวยการหรือส่วนกลางมีจำกัด (simple form and lean staff)
8. เข้มงวดและผ่อนปรนในเวลาเดียวกัน (simultaneous
loose-tight properties)
McKinsey 7-S Framework
ผลจากการศึกษาดังกล่าวได้ถูกนำมาตีพิมพ์ในหนังสือ ชื่อ In Search of Excellence ปี 1982 พอสรุปได้ดังนี้
Structure ðรูปแบบเรียบง่ายธรรมดา พนักงานอำนวยการมีจำกัด (simple form & lean
staff)
Strategy ðมีความใกล้ชิดกับลูกค้า (close to the customer)
ðทำธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญและเกี่ยวเนื่อง (stick
to the knitting)
Staff ð มีอิสระในการทำงานและความรู้สึกเป็นเจ้าของ (autonomy & entrepreneurship)
ð เพิ่มผลิตภาพโดยพนักงาน (productivity through people)
Style ðสัมผัสกับงานอย่างใกล้ชิด (hands-on)
Shared value ðความเชื่อมั่นในค่านิยมเป็นแรงผลักดัน (value
driven)
System ðมุ่งเน้นที่การปฏิบัติ
Skill ðเข้มงวดและผ่อนปรนในเวลา เดียวกัน (simultaneous loose-tight properties)
การนำทฤษฎีมาประยุกต์ใช้กับสถานประกอบการและหน่วยงานในประเทศไทย
บริษัทฯ ในกลุ่มสมบูรณ์ได้ให้โอกาสกับพนักงานในการพัฒนางานอาสาสมัครอย่างต่อเนื่องทุกๆ
สองหรือสามเดือน
โดยพนักงานเป็นผู้ค้นหาปัญหาที่อยู่รอบโรงงานและมาประชุมเพื่อเลือกสถานที่ในการทำกิจกรรมอาสา
โดยที่บริษัทฯจะสนับสนุนค่ารถ ค่าอาหารและให้เวลากับ พนักงานไปทำกิจกรรมอาสาเหล่านั้น
เป็นต้นกิจกรรมอาสาสมัครขององค์กรธุรกิจข้างต้น เกิดจากความร่วมมือระหว่าง
ผู้บริหารและพนักงาน ภายใต้การสนับสนุนขององค์กรธุรกิจ มีงานวิจัยจำนวนมาก
ที่ศึกษาถึงผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเมื่อทำกิจกรรมอาสาสมัคร
พนักงาน นับตั้งแต่สังคมหรือชุมชนที่ได้รับการช่วยเหลือ
ประโยชน์ที่ได้รับจากการนำทฤษฎีมาประยุกต์ใช้
1.องค์กรธุรกิจที่ได้ชื่อเสียง และการยอมรับ
ตลอดจนความสัมพันธ์ที่ดีจากสังคม
2.หุ้นส่วนหรือนักลงทุน ได้รับผลประโยชน์จากราคาหุ้นที่ไม่ถูกกระทบ(กรณีที่บริษัทถูกประท้วง) หรือได้รับการจัดลำดับใน Dow Jones Sustainability Index(เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา)
3.พนักงานมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน มีทัศนคติที่ดีต่อองค์กร
เกิดความสามัคคี และการสร้าง (Team
Building) ขวัญ กำลังใจและความภาคภูมิใจในองค์กร
และมีความตั้งใจในการทำงานมากขึ้น
4.ลูกค้ามีทัศนคติที่ดีต่อองค์กรและส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ
และความภักดีในสินค้า และที่สำคัญมีงานวิจัยจำนวนมากที่สอบถามผู้บริโภค
โดยส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่แสดงออกชัดเจนในการทำดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคม
หากสินค้ามีคุณภาพใกล้เคียงกัน