วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทฤษฏีความรัก เนื้อหาต้นฉบับเขียนโดย ปรเมศวร์ กุมารบุญ

ทฤษฏีความรัก 

เนื้อหาบางส่วนมาจากงานเขียนโดย ปรเมศวร์ กุมารบุญ 

Triangle of Love

นักจิตวิทยาชื่อ ศ.ดร. Robert Sternberg แห่งภาคจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเยลล์ ได้พัฒนาทฤษฎีความรักขึ้นมาว่าด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ เรียกว่าทฤษฏี Triangle of Love ที่ก่อให้เกิดความรักในรูปแบบต่างๆ ขึ้นมาอธิบายได้ โดยปลายของสามเหลี่ยมแต่ละด้าน คือ
Intimacy คือ ความรู้สึกใกล้ชิด ผูกพัน และมีพันธนาการใจ
Passion คือ ความรู้สึกหลงใหลไปในทางชู้สาว ถูกใจในรูปภายนอก และมีเป้าหมายอยากมีสัมพันธ์สวาท
Commitment คือ ในระยะสั้นการตัดสินใจอะไรต้องทำร่วมกับอีกคน และในระยะยาวมีการวางแผนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตร่วมกัน

องค์ประกอบ 3 ด้าน ที่จะอธิบายสถานสภาพ "ความรัก" โดยมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกัน 7 ข้อดังนี้

1. Liking (ชอบ) หรือ Intimacy
หากมีความรู้สึกด้านนี้เพียงอย่างเดียว คือ กรณีที่ไม่มีความรู้สึกรักจริงเกิดขึ้นเลย Sternberg กล่าวว่าเป็นความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนสนิทเป็นเพื่อนแท้หรือคุณลักษณะของมิตรภาพที่ดี ไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปได้ในทาง passion หรือ long-term commitment

2. Infatuated love (หลงเสน่ห์) หรือ Passion
หากมีความรู้สึกด้านนี้เพียงอย่างเดียว คือ เป็นความรู้สึกที่คนทั่วไปกล่าวว่า “Love at first sight” แต่ไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันใกล้ชิด (Intimacy) กันมาก่อน และไม่มีการวางแผนอนาคตที่จะใช้ชีวิตด้วยกัน (Commitment) และความรู้สึกนี้สามารถหายไปได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

3. Empty love (หมดรัก) หรือ Commitment
หากมีความรู้สึกด้านนี้เพียงอย่างเดียว คือ บางครั้งความรักจืดชืดจนหมดรักไปแล้ว แต่ยังมี Commitment ร่วมกันหรือมีอนาคตที่ต้องชีวิตร่วมกันต่อไป ไม่มีทั้ง Intimacy และ Passion อีกแล้ว เหมือนคนที่แต่งงานกันมานาน ในหลายวัฒนธรรมพิธีการแต่งงานนั้น คือการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่เข้าสู่ Empty love

4. Romantic love (รักแบบหวือหวา) หรือ Passion + Intimacy
คือ ความรักร้อนแรงฉันท์ชู้สาวที่มีพันธนาการทางอารมณ์และทางร่างกาย เพื่อสมปรารถนาด้านตัณหาเป็นสำคัญ แต่ไม่มีการวางแผนอนาคตที่จะใช้ชีวิตด้วยกัน (Commitment)

5. Companionate love (รักแบบเห็นอกเห็นใจกัน) หรือ Intimacy + Commitment
คือ ความรักที่พบในคู่แต่งงานกันไปแล้ว ซึ่ง Passion ได้หมดไปแล้ว แต่ผลทางจิตใจยังอยู่ และยังคงตกลงปลงใจใช้ชีวิตมีอนาคตร่วมกันต่อไป
Compassionate love ไม่ได้เป็นความรักเฉพาะคู่รักเท่านั้น แต่เป็นรูปแบบความรักที่เกิดขึ้นได้กับคนทั่วไปที่เราไม่ได้ปรารถนาด้านตัณหา และเป็นความรักที่ยั่งยืนที่สุด เพราะองค์ประกอบพิเศษของ Commitment นั่นเอง เช่น ความรัก

ของสมาชิกในครอบครัว จะเห็นว่ามี Intimacy + Commitment เช่นกัน หรือความรักแบบนี้กับเพื่อนสนิทที่วางแผนจะมีอนาคตร่วมกันทำงานร่วมกัน ถือเป็นความรักในรูปแบบที่ยาวนานที่สุด

Fatuous love (รักเร็วดังสายฟ้า) หรือ Passion + Commitment คือ ความรักที่จบด้วยการแต่งงานที่แสนรวดเร็ว เช่น การจับคู่ดูตัวแล้วแต่งงานกันเลย หรือรักกันไม่กี่สัปดาห์แล้วแต่งงานกันเลย ความรักแบบนี้ขาดความผูกพันใกล้ชิดหรือขาด Intimacy นั่นเอง

Consummate love (รักที่สมบูรณ์แบบ) หรือ Intimacy + Passion + Commitment เป็น ความรักจริงในอุดมคติที่ครบทั้ง 3 ด้าน และยั่งยืนยาวนาน ความรักในรูปแบบนี้เป็นสิ่งที่คนทั้งโลกมุ่งหวัง แต่น้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จในความรัก

Sternberg กล่าวเตือนไว้ว่า แม้วันหนึ่งคุณได้มีความรักแบบ consummate love สำเร็จแล้วก็ตาม แต่การรักษามันให้คงอยู่นั้นยากกว่ามากนัก

Sternberg ให้ความสำคัญอย่างมากกับองค์ประกอบความรักในทางปฏิบัติ เขากล่าวไว้ว่าสุดจะพรรณนาได้ว่า “"even the greatest of loves can die" (1987, p.341) แม้แต่ความรักแบบ consummate love ก็ไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืน อาทิเช่น ถ้าหาก Passion หายไปในเวลาใดก็ตาม ย่อมส่งผลว่าความรักนั้นมิใช่ consummate love อีกแล้ว



Poramez's Model ทฤษฎีวงจรชีวิตรัก
 Poramez's love life cycle Model วางเป็นแนวทางทฤษฎีวงจรชีวิตรัก (Love Life Cycle)
ให้เห็นภาพพอเข้าใจง่ายดังนี้

Stage ที่ 1 
เริ่มจีบกัน (flirting stage)
ความรักฟักตัวโลกนี้เป็นสีชมพู เกิดเรื่องราวปิ๊งปั๊งมีเรื่องราวประทับใจแอบเดินสวนสบตากันบ้าง กดไลค์เฟสบุ๊คนแรกเสมอเมื่อเราโพสต์อะไร เริ่มคุยทักแชต รู้จักมักคุ้น เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ใจตรงกันบ้าง เข้าอกเข้าใจกันบ้าง ไปเดตดูหนังฟังเพลงกินข้าว เกิดเป็นความผูกพันทางใจ Intimacy ได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว

Stage ที่ 2
ความรักเบ่งบาน (Growth Stage)
ตกลงปลงใจเป็นแฟนกันแล้ว จับมือถือแขนเรียกกันว่าแฟน ที่รักจ๊ะจ๊าหวานฉ่ำ (เรียกว่าบางคนน่าจะได้เสียกันตอนนี้ล่ะ) เส้นกราฟความรักโรแมนติกตั้งชัน คู่ที่อินเลิฟมากกราฟจะชันมากเกือบเป็นเส้นตรงความรักเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกว่าหลงใหลใน passion ในปลายช่วงระยะเวลานี้เชื่อว่าคือการขอแต่งงานกันหรือเริ่มอยู่กินด้วยกันแล้ว

Stage ที่ 3 
จุดอิ่มตัว (Saturated Stage)
เมื่อถึงเป้าหมายความรัก ก็เกิดความอิ่มตัว ความรักไม่สามารถอินเลิฟหรือโรแมนติกกว่านี้ได้แล้ว ไม่ใช่ว่าหมดรักนะ ยังรักกันอยู่และยังคงมีอนาคตที่ฝันร่วมกันกับคนรักเป็น Commitment อาจจะเป็นไปได้ที่ความรักจะอยู่ในช่วงระยะเวลานี้ตลอดไปจนกว่าจะอัลไซเมอร์

Stage ที่ 4 
ช่วงเวลาแสงสว่างทางปัญญา หรือ Enlightenment Stage
เป็นช่วงเวลาเลิกงานปาร์ตี้เฮฮา เลยผ่านจุดอิ่มตัวของความรักมาได้สักพักแล้ว มันอืดๆ เบื่อๆ ช่วงเวลานี้เรามองกลับไปยังจุดเริ่มต้นความรักจะเห็นความเป็นไปทั้งหมด และมันมีสองทางที่จะเป็นไปได้เมื่อผ่าน จุดอิ่มตัวในช่วงระยะเวลาที่ 3 แล้วนั่นคือ

Stage ที่ 4.1 ล่มสลาย (Decline) หมดรักกันแล้ว จบไปเลย เมื่อเลยผ่านระยะเวลาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ก็หมดรักไม่อยากจะอยู่ด้วยกันแล้ว แม้ไม่ได้ทะเลาะกันแต่ก็ไม่อยากเห็นหน้ากัน กราฟความรักโรแมนติกลดลงฮวบฮาบ อาจจะหมดรักได้ในวันเดียวเช่นกันกับกราฟความชันที่รักได้ในวันเดียว อย่างไรก็ตามเป็นไปได้ในคู่รักที่ทะเลาะกัน คุณค่าความรักโรมแมนติกกราฟลดลงจนติดลบ นอกจากไม่รักกันแล้วยังเกลียดกันอีก

Stage ที่ 4.2 รักเธอตลอดไป (Still loving you) เรียกชื่อช่วงเวลานี้อย่างกับชื่อเพลงของวงร็อคก้องโลก สกอร์เปี้ยน เชื่อว่าเป็นไปได้ว่าจะมีคนรักใครสักคนยาวนานตลอดไป แต่ไม่เชื่อว่ากราฟความรักโรแมนติกจะสูงเสมอจุดสูงสุดและยาวนานตลอดไป เป็นความเชื่อส่วนบุคคลของผมไม่ได้เกิดจากการวิจัย
Stage ที่ 4 ช่วงเวลาแสงสว่างทางปัญญา นั้นยังมีกรณีเพิ่มเติมที่คาดไว้ว่าจะมีโอกาสจะเป็นไปได้ นั่นคือ "การมีแฟนอยู่แล้วแต่เริ่มหลงรักคนอื่น"


อ้างอิง
Sternberg, R. J. (1986) A triangular theory of love. Psychological Review, 93,119-135.
Sternberg, R. J. (1988) The Triangle of Love: Intimacy, Passion, Commitment, Basic Books (ISBN 0465087469)


อ่านงานเขียนต้นฉบับได้ที่ https://www.gotoknow.org

วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ดูดวงความรัก ราศีมังกร พฤษภาคม 2017

ดูดวงความรัก ราศีกรกฏ พฤษภาคม 2017

30 สิ่งที่คุณควรเลิกทำกับตัวเองเสียที Cr. By nuttaputch.com

1. หยุดใช้เวลากับคนแย่ๆ
คบคนพาล พาลไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล เรารู้จักสุภาษิตนี้กันมาแต่ไหนแต่ไร เรารู้ดีว่าคนดีๆ มักจะสอนและทำให้เราได้ใช้ชีวิตดีๆ เป็นพื้นฐาน ฉะนั้นแล้ว คุณควรรีบใช้ชีวิตอยู่กับคนดีๆ แทนที่จะไปอยู่ในสังคมของคนแย่ๆ ที่ทำให้ชีวิตของคุณไม่ไปไหน ยิ่งในเรื่องความรัก เขาว่ากันว่าถ้าคนนั้นเขาต้องการคุณจริง เขาจะมีที่ให้คุณโดยที่คุณไม่ต้องพยายามหรือต่อสู้เพื่อให้ได้มันมา อย่าเสียเวลากับคนที่ไม่เห็นค่าของคุณ ยังมีคนอีกเยอะที่ให้ความสำคัญกับตัวคุณ จำไว้ว่าคนที่อยู่เคียงข้างคุณเวลาที่คุณเวลาที่แย่และชี้ทางให้คุณได้ดีคือคนที่เป็นเพื่อนแท้ และคือคนที่คุณควรให้ความสำคัญต่างหาก

2. หยุดวิ่งหนีปัญหาของตัวเอง
การเอาแต่หนีปัญหาไม่ใช่ทางแก้ปัญหาแต่อย่างใด หากแต่เป็นแค่การยืดเวลาทรมานกับปัญหาออกไปเท่านั้น การที่คุณจะก้าวหน้าและไปสู่ชีวิตที่ดีได้ ก็คือการที่คุณก้าวข้ามอดีต ต่อสู้และเอาชนะกับปัญหาให้ได้ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ปัญหาบางอย่าง บางปัญหาต้องใช้เวลา แต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะปฏิเสธหรือมองข้ามมัน การเผชิญหน้ากับปัญหาอาจจะทำให้เราต้องทุกข์ ต้องเจ็บปวด ต้องร้องไห้ แต่นั่นก็คือบทเรียนของชีวิตที่เราต้องเผชิญหน้าและเติบโตขึ้น และมันคือสิ่งสำคัญของหล่อหลอมชีวิตเราให้อยู่กับความเปลี่ยนแปลงได้

3. หยุดโกหกตัวเอง
การโกหกตัวเองมีแต่ทำให้คุณไม่อยู่กับความเป็นจริง และเอาจริงๆ แล้วตัวคุณเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าความจริงคืออะไรเพียงแต่ไม่ยอมรับมัน ยิ่งคุณโกหกตัวคุณเองก็มีแต่ทำให้คุณไม่สามารถอยู่กับชีวิตจริงได้ การเผชิญหน้ากับความจริงเป็นสิ่งที่ยากลำบาก แต่นั่นก็คือขั้นตอนสำคัญที่ทำให้ชีวิตของเราก้าวต่อไป

4. หยุดผลัดวันประกันพรุ่ง
ชีวิตคุณมีอะไรหลายๆ อย่างที่คุณควรได้ทำ อย่าเอาเวลาที่คุณมีไปทำอย่างอื่นจนลืมทำอะไรให้ตัวเอง การช่วยคนอื่นเป็นสิ่งที่ดีแต่จะดีมากถ้าคุณไม่ลืมเป้าหมายของัวเองและเติมเต็มให้กับสิ่งที่อยากทำด้วย

5. หยุดพยายามเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวคุณเอง
หลายๆ ทีเราอยากเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้เสมอไป ตัวตนบางอย่างไม่ได้เป็นสิ่งที่เราเกิดมาเพื่อเป็น และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจำเป็นต้องเป็น ในทางกลับกัน การที่คุณพยายามเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวคุณจะเป็นเพียงการเสียเวลา ฝืนตัวเอง และเสียโอกาสที่จะพัฒนาส่วนเด่นของคุณเองอีกต่างหาก นอกจากนี้แล้ว การพยายามเป็นที่รักของทุกคน พยายามเอาใจทุกคนด้วยการเปลี่ยนตัวเองนั้นเป็นความคิดผิดๆ ที่จะทรมานตัวคุณเองเปล่าๆ เป็นตัวของคุณเองและให้คนอื่นภูมิใจหรือยอมรับในตัวตนที่แท้ของคุณดีกว่า

6. หยุดยึดติดกับอดีต
อดีตมีไว้ให้เรียนรู้ แต่ไม่ใช่ให้จมอยู่กับมัน ชีวิตคุณจะไม่มีวันไปไหนถ้ายังยึดติดกับเรื่องเดิมๆ คิดว่าชีวิตมันต้องเป็นแบบเมื่อวาน ความสำเร็จมันต้องเป็นแบบครั้งก่อน คุณกำลังอยู่กับ “วันนี้” และใช้ชีวิตเพื่อไปสู่ “พรุ่งนี้” ไม่ใช่การกลับไปใช้ชีวิตใน “เมื่อวาน”

7. หยุดกลัวที่จะทำผิด
ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากให้เกิดกัน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องราวสำคัญที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ เพราะมันทำให้เขารู้ว่าอะไรดีและไม่ดี การอนุญาตให้ตัวเองได้พบกับความผิดพลาด (บ้าง) คือการเปิดใจให้กล้าลอง ได้ทดสอบหลายๆ อย่าง การลองแล้วผิดพลาดมันก็ยังดีเสียกว่าคุณไม่ได้ลองทำอะไรเลย คุณที่ประสบความสำเร็จก็ล้วนพบกับความผิดพลาดมาแล้วทั้งนั้น ถ้าคุณอยากจะไปให้ไกลขึ้น คุณก็ต้องกล้าที่จะพบกับความผิดหวังบ้าง แต่ถ้าคุณไม่กล้า คุณก็วนอยู่กับเรื่องเดิมๆ นั่นแหละ

8. หยุดโทษตัวเองกับความผิดก่อนๆ
คนเราผิดพลาดกันได้ แต่ไม่ใช่ว่าความผิดพลาดมันจะเกิดขึ้นตลอดไป ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นในอดีต ไม่ใช่ปัจจุบัน คุณอาจจะเสียใจกับความผิดในอดีตได้ แต่อย่าเอาแต่โทษตัวเองจนไม่ได้ทำอะไรใหม่ จำไว้ว่าความผิดพลาดมันคือการปูโอกาสให้เจอสิ่งที่ใช่ การที่เราเคยคบกับคนที่ไม่ใช่ ก็เพื่อให้วันหนึ่งเราได้เจอคนที่ใช่ ความผิดพลาดในอดีตก็ทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่ถูกคืออะไร

9. หยุดคิดที่จะเอาแต่ซื้อความสุข
ความสุขไม่ได้มาจากการใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย จริงอยู่ว่าคุณอาจจะมีของอยากได้ที่ราคาแพง แต่นั่นไม่ใช่ทุกอย่างของความสุข อันที่จริงแล้วยังมีความสุขอีกมากมายที่คุณได้มาฟรีๆ อย่างเช่นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือการทำในสิ่งที่ตัวเองรัก

10. หยุดคาดหวังความสุขจากคนอื่น
ประโยคประเภท “ชั้นมีความสุข เมื่อเธอมีความสุข” อาจจะฟังดูสุดโรแมนติค แต่ถ้าตัวคุณเองยังไม่มีความสุขกับตัวเองแล้ว คุณจะไปมีความสุขกับคนอื่นได้ยังไง ฉะนั้นแล้ว ความสุขเริ่มต้นจากตัวคุณเองก่อน ความคิดประเภท “ชั้นจะมีความสุขก็ต่อเมื่อมีเธอ” มันทำให้คุณต้องไปพึ่งหวังกับคนอื่นและต้องทุกข์ถ้าไม่มีอีกฝั่งทั้งที่จริงคุณเองก็สามารถสุขได้ด้วยตัวเองแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฉะนั้น สร้างตัวเองให้มั่นคงก่อน แล้วคุณแชร์ความสุขนั้นกับผู้อื่นดีกว่าครับ

11. หยุดไม่ทำอะไรสักที
หลายคนเป็นประเภทกลัวจะสร้างปัญหา เลยไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง แต่นั่นก็ทำให้คุณไม่ได้ไปไหนด้วยเช่นกัน ชีวิตคุณเกิดมาพร้อมกับเวลาและโอกาสมากมาย ใช้เสียให้คุ้ม ดูสถานการณ์รอบตัวคุณแล้วคิดเสียว่าคุณจะทำอะไรได้บ้างเพื่อจะพาชีวิตก้าวไปข้างหน้า แล้วก็เริ่มลงมือทำได้แล้ว

12. หยุดคิดว่าคุณไม่พร้อม
ไม่มีใครพร้อม 100% ตอนที่ได้รับโอกาส เพราะเอาเข้าจริงๆ การนิยามว่า “พร้อม” นั้นมันไม่มีคำนิยามที่เป๊ะๆ หรอก แถมเอาเข้าจริงๆ มันเป็นสิ่งที่คุณคิดไปเองทั้งนั้น โอกาสดีๆ ในชีวิตมันมาพร้อมกับการทำให้คุณก้าวไปสู่สิ่งที่คุณยังไม่เคยได้ทำ สิ่งที่คุณยังไม่มีประสบการณ์ ฉะนั้นมันไม่มีทางที่คุณจะพร้อมอยู่แล้ว มันอยู่แต่ว่าคุณจะยอมทำมันไหมต่างหาก

13. หยุดไปมีความสัมพันธ์ด้วยเหตุผลผิดๆ
การมีความสัมพันธ์ใดๆ นั้นเป็นเรื่องที่ต้องคิดและพิจารณากันดีๆ ชีวิคคู่ในหลายๆ ครั้งไม่ได้นำไปสู่เรื่องดีๆ แถมยังทำให้ชีวิตย่ำแย่เสียอีกต่างหาก ผมมักพูดเสมอบ่อยๆ ว่าถ้ามีคู่แล้วไม่ดี ก็อยู่เป็นโสดเสียดีกว่า อย่าไปคิแบบนิยายว่ารักคือสิ่งสวยงามที่จะทำให้ชีวิตของคุณมีแต่สีชมพู เราเห็นกันมาเยอะแล้วว่าเวลารักขมมันทำให้ชีวิตแต่ละคนย่ำแย่แค่ไหน ถ้าจะมีความรักอะไรนั้น ให้มีวันที่คุณพร้อมจะมี ไม่ใช่มีเพราะคุณแค่อยากจะหายเหงา

14. หยุดคิดว่าจะเป็นโสดแค่เพราะรักครั้งที่แล้วมันแย่
การมีความรักที่ผิดพลาดมาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่มันไม่ใช่ว่ารักครั้งใหม่มันจะต้องแย่เหมือนรักครั้งก่อน คุณที่คุณเจออยู่อาจจะเป็นคนที่ “ใช่” และทำให้ชีวิตของคุณดีก็เป็นไปได้ ฉะนั้นแล้วเปิดโอกาสให้ตัวเองบ้าง ไม่ใช่ปิดประตูเพราะเอาแต่คิดว่า “ผู้ชายทุกคนมันเลว” หรือ “ผู้หญิงทุกคนนั้นแย่” (ไอ้ที่แย่น่ะมันแค่คนบางคนที่คุณเจอ หรือบางทีอาจจะเป็นที่ตัวคุณเองต่างหากเล่า)

15. หยุดแข่งกับคนอื่น
การเทียบกับคนอื่นมีแต่จะทำให้คุณรู้สึกอคติกับตัวเองเพราะต้องมานั่งกังวลว่าคนอื่นเขาจะดีกว่าคุณเมื่อไร เขาจะนำคุณเมื่อไร มันกลายเป็นเป้าหมายชีวิตของคุณไปผูกอยู่กับคนอื่นแทนที่คุณจะมานั่งสนใจกับตัวคุณเอง ฉะนั้นแล้ว ตั้งเป้าหมายในการแข่งกับตัวคุณเอง เอาชนะตัวเองในวันก่อนๆ ให้ได้คือสิ่งที่คุณควรจะคิดมากกว่านะครับ

16. หยุดอิจฉาคนอื่น
การอิจฉาเป็นกิเลสที่เผาตัวคุณอย่างไม่มีวันจบ ยิ่งคุณอิจฉาคนอื่นมันก็จะยิ่งทำให้คุณทรมานมากขึ้นเท่านั้น มันทำให้คุณวนเวียนแต่กับการคิดไม่ดีกับคนอื่น คิดแต่จะทำให้คนอื่นแย่กว่าตัวเอง ถ้าคนอื่นดีกว่าคุณ คุณก็โทษตัวเองไปในตัว แล้วมันนำไปสู่อะไรกันล่ะ? หยุดอิจฉาคนอื่นแล้วมาสนใจตัวคุณเองดีกว่า นอกจากไม่ทุกข์แล้ว คุณอาจจะรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นด้วย

17. หยุดโทษตัวเอง
อย่างที่บอก (อีกแล้ว) ว่าคนเราผิดพลาดกันได้ คุณเองก็ผิดได้ เจ้านายคุณก็ผิดได้ เพื่อนคุณก็ผิดได้ อย่าเอาแต่คิดว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะคุณ สิ่งต่างๆ มันมีปัจจจัยที่มาเกื้อหนุนให้ “เกิดขึ้น” ไม่ใช่แค่เพราะคุณคนเดียว เรียนรู้จากความผิดพลาดและยิ้มให้กับตัวเองแทนที่จะเอาแต่โทษตัวเองไปเรื่อยๆ

18. หยุดอาฆาตแค้น
นอกจากความอิจฉาแล้ว การอาฆาตแค้นเป็นเรื่องที่ชีวิตคุณไม่ควรเอามาถือไว้เลยสักนิด การเกลียดคนอื่นมีแต่จะทำให้ชีวิตคุณแย่และทำร้ายตัวคุณเองมากกว่าที่คนซึ่งคุณเกลียดทำกับคุณเสียอีก การให้อภัยหรือปล่อยมันไปเป็นเรื่องไม่ง่ายแต่นั่นก็คือสิ่งที่ทำให้คุณหลุดพ้นจากวังวนที่ทำให้ชีวิตคุณแย่ คุณต้องกล้าที่จะบอกว่า “ฉันจะไม่ให้เธอมาทำลายความสุขของฉันอีก” แล้วก็อย่าไปสนใจมันอีก แค่นั้นแหละครับ

19. หยุดให้คนอื่นมาฉุดให้คนลงไปอยู่กับพวกเขา
หลายๆ ครั้งที่คุณรู้ว่าชีวิตคุณมีดีกว่าที่จะตอบโต้หรือลงไปอยู่ในมาตรฐานเดียวกับคนบางกลุ่ม ฉะนั้นก็อย่าเอาตัวเองลงไปอยู่ในระดับที่ต่ำลง เหมือนบัว 4 เหล่าที่คุณไม่ควรลงไปยุ่งและทำตัวแบบเดียวกับบัวที่อยู่ต่ำกว่าคุณนั่นแหละครับ

20.  หยุดเอาเวลามานั่งอธิบายตัวเองให้คนอื่นฟัง
คนที่เขาเข้าใจและแคร์คุณ (และคนที่คุณควรแคร์) เขาไม่ต้องมานั่งฟังคุณอธิบายว่าคุณเป็นอย่างไร เพราะเขาจะเข้าใจคุณตั้งแต่แรกโดยแทบไม่ต้องพูดอะไรสักนิด ในขณะเดียวกัน คนที่เขาเกลียดคุณหรือเป็นศัตรูคุณเขาก็ไม่มานั่งฟังคุณเช่นกัน (คุณอธิบายไปก็เท่านั้นแหละ)

21. หยุดทำอะไรโดยไม่มีหยุดพัก
จริงอยู่ว่าชีวิตมีเวลาจำกัดที่คุณต้องรีบใช้ให้คุ้ม แต่การคุ้มไม่ใช่แปลว่าคุณไม่ได้พักอะไรเลย การพักบ้างอะไรบ้างมันทำให้คุณได้ถอนหายใจ ได้พิจารณาอะไรหลายๆ อย่างระหว่างพัก ลองหาเวลาที่จะหยุดทำอะไรสักพักแล้วให้เวลากับตัวเองในเรื่องอื่นบ้างก็ไม่เสียหายหรอกครับ

22. หยุดมองข้ามความสวยงามเล็กๆ น้อย
การหาความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บ้างมันเป็นเรื่องที่ดีและทำให้คุณเห็นคุณค่าของ “เวลา” และ “ชีวิต” มากกว่าที่คุณคิด คุณอาจจะมีเป้าหมายใหญ่ที่ต้องวิ่งไปข้างหน้าอีกนาน แต่อย่าลืมแวะสนุกกับเรื่องราวริมทางบ้าง มันจะดีมากถ้าคุณสามารถมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นเดียวกับความสุขใหญ่ๆ ที่ปลายทาง
23. หยุดทำให้ทุกอย่างเพอร์เฟค

โลกความจริงมันไม่เหมือนโลกอุดมคติ ไม่มีอะไรที่จะเสร็จสมบูรณ์ไปได้ คนเราย่อมคิดอะไรที่จะแต่งแต้มและเพิ่มให้ดีขึ้นได้อีกเรื่อยๆ การที่เอาแต่บอกว่ามันต้องสมบูรณ์เท่านั้นมันเป็นการตีกรอบให้หลายๆ ทีคุณไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่างเพราะคุณเอาแต่คิดว่า “มันไม่ดีพอ” สักกะที

24. หยุดเดินตามเส้นทางที่เน้นปลอดภัยอย่างเดียว
ใครๆ ก็อยากรู้สึกปลอดภัยอยู่ใน Comfort Zone แต่นั่นก็ทำให้คุณไม่ได้ไปไหนไกล การจะประสบความสำเร็จหรือได้สิง่ที่คุณคู่ควรนั้น ส่วนหนึ่งคือการลองทำสิ่งใหม่ๆ การทำอะไรที่ยากๆ หรือทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม ฉะนั้นแล้ว อย่าเอาแต่เลือกเส้นทางแบบ “รักสบาย” ตลอดไป บางครั้งคุณต้องกล้าจะเลือกทางที่จะยากลำบากบ้าง (แล้วมันอาจจะดีเสียกว่าที่คุณเลือกทางสบายๆ เสียอีก)

25. หยุดทำเป็นเหมือนว่าทุกอย่างไม่เป็นไรทั้งที่จริงมันไม่ใช่
การมองโลกในแง่ดีกับการมองโลกโดยไม่อยู่กับความจริงมันเป็นเรื่องที่ฟังดูคล้ายๆ กันแต่ได้ผลคนละเรื่อง คุณไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคนที่แข็งแกร่ง ไม่กระเทือน ไม่รู้สึกรู้สาตลอดเวลา บางทีคุณก็ต้องปล่อยให้ตัวเองรู้สึกบ้างอะไรบ้าง เดือดร้อนบ้างตามประสามนุษย์ มันทำให้คุณมีโอกาสได้เป็น “คน” อย่างที่คุณเป็นอยู่แหละครับ

26. หยุดพยายามเป็นทุกอย่างเพื่อทุกๆ คน
ความคิดเรื่องของการเป็น “คนของประชาชน” ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาอย่างคุณควรจะทำ (เว้นแต่คุณจะพยายามเป็นนักการเมืองน่ะนะ) คุณต้องไม่ลืมว่าคนรอบข้างคุณไม่ได้คิดเหมือนกันทุกคน ยิ่งคุณรู้จักคนเยอะ เกี่ยวข้องกับคนเยอะ มันก็ยิ่งมีความต้องการมากมาย ความคาดหวังที่หลากหลาย แล้วมันคงไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องปรับตัวเองเพื่อให้ตอบสนองทุกๆ อย่าง เพราะสุดท้ายก็จะมีแต่ทำให้ตัวตนของคุณบิดเบี้ยวเสียอีกต่างหาก

27. หยุดโทษคนอื่นสำหรับปัญหาของคุณ
การไม่รับผิดชอบกับชีวิตตัวเอง แต่โยนความรับผิดชอบให้กับผู้อื่นคือนิสัยของคนที่จะไม่มีวันโตเพราะเขาจะไม่มีวันเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ คนที่จะประสบความสำเร็จคือคนประเภทที่กล้า “รับผิด” และ “รับชอบ” กับตัวเอง ไม่ใช่เอาแต่ “รับชอบ” อย่างเดียว

28. หยุดกังวลเกินไป
การเอาแต่กังวลไปเสียทุกอย่างมีแต่จะทำให้สมองของคุณรวมทั้งความรู้สึกของคุณไม่ได้อยู่ในภาวะที่จะนำไปสู่ความสุขเลยแถมยังจะฉุดตัวคุณเองในแต่ละวันด้วยซ้ำ เรื่องบางเรื่องคุณอาจจะกังวลได้ แต่เรื่องบางเรื่องมันยังไม่ถึงเวลา หรือไม่ใช่เรื่องที่คุณควรจะกังวล ถามตัวเองให้ดีเวลาที่คุณจะกังวลกับอะไรว่าคุณควรจะกังวลกับมันไหม

29. หยุดคิดถึงแต่สิ่งที่คุณไม่อยากให้เกิดขึ้น
แทนที่คุณจะเอาสมาธิไปมัวคิดว่าจะเกิดอะไรที่ไม่พึงประสงค์ คุณควรไปนั่งคิดมากกว่าว่าจะทำอะไรให้เกิดสิ่งที่คุณพึงประสงค์ การคิดในแง่บวก (แบบไม่เกินจริง) คือพื้นฐานที่ทำให้คนคิดก้าวไปสู่ความสำเร็จ ฉะนั้นแล้ว เอาพลังและเวลาที่คุณมีไปคิดถึงแต่สิ่งดีๆ ที่คุณอยากทำให้เกิดขึ้นดีกว่าครับ

30. หยุดเฉยชากับโลก
ไม่ว่าโลกมันจะแย่หรือจะดี มันคงจะดีกว่าที่คุณจะรู้สึกดีที่มีชีวิตอยู่และมีวันนี้ (รวมทั้งพรุ่งนี้) มีคนมากมายที่ชีวิตแย่กว่าคุณ (เชื่อเหอะว่ามีจริงๆ) รู้จักยินดีกับสิ่งที่คุณมี พอใจกับความสุขที่คุณได้ในแต่ละวันมันทำให้คุณอยากมีชีวิตต่อไปแทนที่จะมานั่งคิดว่าคุณพลาดอะไรไปบ้าง หรือขาดอะไรไป

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

นิทาน 5 คำแห่งความสุขและความเศร้า คือคำว่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป “This, too, shall pass.”

นิทาน 5 คำแห่งความสุขและความเศร้า 

คือคำว่า 

❤เ ดี๋ ย ว มั น ก็ ผ่ า น ไป❤
  😂“This, too, shall  pass.”🤣 


            กษัตริย์โซโลมอนทรงมีพระประสงค์จะทดสอบปัญญาของอำมาตย์นาม เบเนอา โดยรับสั่งให้เสาะหาแหวนวิเศษอันมีอำนาจที่จะทำให้มนุษย์ผู้กำลังมีความสุข กลายเป็นระทมทุกข์ได้ เพียงจ้องมองแหวนนั้น และขณะเดียวกันก็สามารถบันดาลให้ผู้เศร้าหมองสามารถรู้สึกสุขขึ้นมาได้  เพียงเพราะมองแหวนวิเศษวงเดียวกัน
         
            เบเนอาหายไปหลายเดือน และกลับมาพร้อมแหวนทองหน้าตาธรรมดา  ราชาโซโลมอนนึกเยาะว่า คราวนี้ขุนนางคนเก่งคงถึงคราวเซ็ง เพราะแหวนวิเศษอะไรนั่น มันมีเสียที่ไหนในโลกนี่เล่า  พระองค์ทรงโมเมขึ้นมาขำ ๆ เพื่อแกล้งข้าราชบริพารของท่านเล่นยามว่างเท่านั้น (ว่าแล้วก็ทรงพระสรวล)
         
           แต่เมื่อได้เห็นข้อความสลักบนแหวน คิงโซโลมอนก็เบรกสรวลแทบไม่ทัน  ข้อความภาษาฮีบรูบนแหวนนั้น ปรากฎเป็นประโยคว่า “Gimel, Zayin, Utd”
            แปลเป็นภาษาอังกฤษคือ “This, Too, shall  pass.”
            และแปลเป็นภาษาไทยอีกทีว่า “และสิ่งนี้  ก็จะผ่านไปเช่นกัน”
            กษัตริย์โซโลมอน แม้จะทรงขี้แกล้ง แต่ก็ทรงพระปรีชา  พระองค์รู้ได้ในทันทีว่า  เบเนอา  มหาอำมาตย์เอกได้บรรลุภารกิจแล้ว

เราจะไม่รู้ซึ้งถึงนิทานเรื่องนี้เลยถ้าเราไม่คิดตาม

วันนี้ไม่ว่าคุณจะมีความสุข หรือความทุกข์

จำไว้

เ ดี๋ ย ว มั น ก็ ผ่ า น ไ ป  “This, too, shall  pass.” 💘


วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ฉากสุดท้าย พัณนิดา เศวตาสัย





เก็บรอยฝันกับความหลังไว้เพื่อลาจาก เก็บความรักฝากกลอยใจไปกับสายลม

เพียงเธอโบกมือลายิ่งพาใจให้ตรม

หักใจไม่ขื่นขมระทมปวดร้าว



ต่อจากนี้คงจะเหลือฉันและแผลเก่า

ตัดใจเราจากความหลังพังยับเยิน

เธอได้ฝากรอยใจฉันกลายเป็นส่วนเกิน

ฉันจะเดินโดยไม่มีเธออีกแล้ว



ต่อไปเธอเป็นเพียงแค่ความหลัง

เป็นรอยฝังเป็นเพียงบทเรียน

จะลืมเธอสิ้นลมลืมคนที่ใจแปรเปลี่ยน

หากเรียนรักต่อไปใจคงปวดร้าว



จากคนนี้สู่คนนั้นฉันต้องลาก่อน

ฉากบางตอนที่มีฉันพลันจบสิ้นลง

ไม่มีคนร่วมฝันไม่มีความมั่นคง

ฉากนี้คงจบลงด้วยการจากลา



ต่อไปเธอเป็นเพียงแค่ความหลัง

เป็นรอยฝังเป็นเพียงบทเรียน

จะลืมเธอสิ้นลมลืมคนที่ใจแปรเปลี่ยน

หากเรียนรักต่อไปใจคงปวดร้าว



จากคนนี้สู่คนนั้นฉันต้องลาก่อน

ฉากบางตอนที่มีฉันพลันจบสิ้นลง

ไม่มีคนร่วมฝันไม่มีความมั่นคง

ฉากนี้คงจบลงด้วยการจากลา

วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

กาลเวลา





ความทรงจำของชีวิตไม่ต่างอะไรกับรสของกาแฟหวานหอม ยิ้ม สุข ขื่นคอ ขม ทุกข์ล้วนแต่คละเคล้ากันไปเลือกที่จะรับ เลือกที่จะให้ร้อนเย็นแค่ไหน ก็อยู่ที่ใจจะเลือกเอา/บันทึกรักนักบัญชี


เรื่องเศร้าของเมล็ดกาแฟ









 "เรื่องเศร้าของเมล็ดกาแฟ (Coffee Beans)" เล่มนี้ได้รับอิทธิพลมาจากหนังสือนิทานคลาสสิกต่างๆ รวมถึงภาพยนตร์และเรื่องเล่าในวันเด็กของผู้เขียน ซึ่งพยายามจะสะท้อนถึงด้านต่างๆ ของโลก และมุมมองในปัจจุบันในรูปแบบของนวนิยายเรื่องสั้นสำหรับเด็กและผู้ใหญ่


นิทาน เรื่อง เวลาและความรัก

          กาลครั้งหนึ่งบนเกาะแห่งหนึ่ง  มีเหล่าตัวแทนความรู้สึกอาศัยอยู่รวมกันมานาน
ความสุข ความเศร้า ความเหงา รวมถึงความรัก  วันหนึ่งเกาะที่อยู่รวมกันมานานกำลังจะจมลง
เหล่าความรู้สึกต่างพากันอพยพหนี  บ้างก็เตรียมเรือ  บ้างก็เก็บข้าวของที่จำเป็น
ยกเว้น "ความรัก"  ที่คิดว่ายังคงอยู่

          เมื่อเกาะเริ่มจมลงเรื่อยๆ ความรักจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือ   กับความรวยที่ผ่านมา
แต่ความรวยกลับบบอกว่า "ไม่ได้หรอก...เรือของฉันไม่มีที่พอให้เธอขึ้น เพราะเรือของฉันเต็มไปด้วย
ทรัพย์สินเงินทองมากมาย  ฉันคงให้เธอไปด้วยไม่ได้หรอก"

          ต่อมาความรักได้ขอความช่วยเหลือกับ  ความสุข  แต่ความสุขมัวแต่สบายใจ
จึงไม่ได้ยินการขอความช่วยเหลือของความรัก เลยแม้แต่น้อย

          ส่วนความเศร้ากับบอกว่า "ฉันกำลังเสียใจมาก  ฉันต้องการอยู่คนเดียว"

          สักพักกับมีเรือโดยสารมาช่วยเหลือความรัก   โดยที่ความรักมัวแต่ดีใจ
จนไม่ได้คิดที่จะถามถึงชื่อของเขา  จนกระทั่งมาถึงเกาะ   ความรักได้เจอกับความรู้   จึงถามความรู้ว่า
คนที่ช่วยเหลือเขาคนนั้นเป็นใคร?

          ความรู้ตอบว่า "เขาคือเวลา"    ความรักถามว่า  "ทำไมเวลาถึงช่วยฉัน"  ความรู้จึงตอบว่า....

มีเพียง "เวลา"  เท่านั้นที่รู้ว่า "ความรักยิ่งใหญ่แค่ไหน"
ที่มา : http://www.yenta4.com


อีกมุมหนึ่ง..ขอบคุณน้องป่าน กลุ่ม line นางฟ้า 

มีนิทานอยากจะเล่าให้ฟังนะ....
....มีเกาะแห่งหนึ่งชื่อว่าเกาะความรักวันนึงความรักอยากจะออกจากเกาะ อยากเข้าฝั่ง จึงมองหาใครสักคนที่จะพาความรักไปส่งยังฝั่งตามที่ปรารถนา ความรักจึงหันไปหาความรวยแล้วบอกกับความรวยว่า...ความรวยจ๋า ฉันอยากเข้าฝั่งช่วยพาฉันเข้าฝั่งด้วยได้ใหม...แต่ความรวยกลับตอบความรักมาว่า...ฉันพาเธอไปด้วยไม่ได้หรอก เพราะเรือของฉันมันเต็มไปด้วยแก้ว แหวน เงิน ทอง ไม่มีที่ว่างให้เธอหรอกนะ...ความรักจึงหันหาความเห็นแก่ตัว...ความเห็นแก่ตัวตอบความรักกลับมาว่า...ฉันพาเธอไปส่งไม่ได้หรอก ฉันยังไม่อยากรับผิดชอบ...ความรักจึงหันไปหาความเหงา...ความเหงาบอกว่า...อย่ามายุ่งกับฉันเลย ฉันอยากอยู่คนเดียว...ความรักจึงหันไปหาความเศร้า...ความเศร้าบอกว่า...ฉันพาเธอไปไม่ได้หรอกฉันกำลังเศร้า...ในขณะที่ความรักไม่รู้จะหันไปหาใครแล้ว ก็มีเสียงแก่ๆเสียงหนึ่งเอ่ยมาว่า...ไปกับฉันใหมล่ะ ฉันจะไปส่งเธอให้เอง...แล้วความรักก็ไปถึงฝั่ง แล้วเสียงแก่ๆนั้นก็จากความรักไป โดยที่ความรักลืมถามว่าใครที่มาส่ง ความรักยังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย...ความรักจึงถามกับความรู้ว่าใครกันนะที่มาส่ง...ความรู้ตอบความรักว่า...เวลายังไงหล่ะที่มาส่ง...คำตอบที่ได้ทำให้ความรักเห็นคุณค่าของเวลา และซึ้งที่เวลาเห็นคุณค่าของความรัก แต่ก็ไม่มีเวลาให้ความรักได้ตอบแทนเสียแล้ว....จบ.        

#เราได้ข้อคิดอะไรจากเรื่องนี้บ้าง...ลองตอบตัวเองดูนะ...


วามรักของคุณเป็นแบบไหนกัน
ความรักของฉันมันดูเหมือนจะจบลง
วันนี้ฉันยังเฝ้ามองเค้าด้วยความรักความชื่นชม ความปราถนาดี 
อยู่ในทิศทางของฉันเท่าที่เวลาและความรู้สึกจะมีให้กันได้


#ทฤษฏีความรัก
- Intimacy
- Passion
- Commitment

ความรักไม่ว่าจะจบลงในรูปแบบไหน 
มันมีความสวยงามไว้ในระลึกถึงกันเสมอ
เพียงแต่ช่วงเวลาของการได้รัก..
คุณใช้เวลากับสิ่งนั้นให้มีคุณค่าแล้วหรือยัง
ขอบคุณนะความรัก...ศิวพร 2017.05.15

นิทานความรัก เรื่อง การเดินทางของความรัก


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเกาะแห่งหนึ่งซึ่งรวมรวมความรู้สึกทั้ง

หมดอาศัยอยู่ด้วยกัน ความสุข ความเศร้า ความรู้ และอื่น ๆ รวมทั้ง

ความรัก วัน หนึ่ง มีประกาศไปยังความรู้สึกทั้งหมดว่า เกาะกำลังจะ

จม ดังนั้น ทั้งหมดจึงได้เตรียม เรือเพื่อที่จะหนีออกจากเกาะ ความรัก

เท่านั้นที่ตัดสินใจจะอยู่บนเกาะ ความรักต้องการที่จะอยู่จนกระทั้ง

วินาทีสุดท้าย เมื่อเกาะเกือบจะจมแล้ว ความรัก จึงตัดสินใจขอความ

ช่วยเหลือ… ความรักขอความช่วยเหลือจากความรวย ความรวยแล่น

เรือผ่านความรวยตอบว่า

‘ไม่ได้หรอก… ฉันรับเธอไม่ได้ เพราะเรือฉันนะเต็มไปด้วยทองและเงิน

แล้ว มันไม่มีที่สำหรับคุณ’

ความเศร้าได้พายเรือใกล้เข้ามา ความรักก็ได้เอ่ยขอความช่วยเหลืออีก

‘ความเศร้า อนุญาตให้ฉันขึ้นเรือคุณนะ’

‘โอ้ความรัก ฉันกำลังเศร้ามากเลย ฉันต้องการอยู่คนเดียว ขอโทษนะ’

ความสุขได้ผ่านความรักไปเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้ยินแม้เสียงร้องเรียก

ขอความช่วยเหลือของความรักเพราะมัวแต่ กำลังสุข ทันใดนั้น มีเสียง

หนึ่งดังขึ้นมา

‘มานี่ความรัก ฉันจะรับคุณไปเอง’

เสียงนั้นเป็นของคนแก่คนหนึ่ง ความรักรู้สึกขอบคุณและดีใจเป็นอย่าง

มาก จนลืมถามชื่อว่าใครคือผู้ใจดีผู้นั้น เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินที่แห้ง

คนแก่ก็จากไปตามทางของเขา ความรักนึกขึ้นมาได้ว่าลืมถามชื่อชาย

แก่คนนั้น ความรักจึงถาม ความรู้และคนแก่คนอื่นๆ ..

‘ใครเหรอที่เป็นคนช่วยฉัน’

ความรู้ตอบว่า

‘เวลา’

ความรักถาม

‘แต่ทำไมเวลาถึงช่วยฉันล่ะ’

ความรู้ยิ้มในความรอบรู้ของตัวเองแล้วตอบความรักว่า

‘ก็เพราะว่า มีเพียงเวลาเท่านั้นที่เข้าใจว่าความรักยิ่งใหญ่แค่ไหน’

————————————————

…เมื่อความรักใด้เข้ามาอยู่ในเกาะแห่งใหม่ก็พบว่าเกาะนี้ช่างอุดม

สมบูรณ์เสียจริง มีไม้ให้เธอสร้างบ้าน มีอาหารให้กินและมีทุกอย่างที่

เธอต้องการ ไม่นาน ไม่นานเธอก็หลงรักเกาะนี้ เธอคิดว่าเกาะ คงรัก

เธอเช่นกัน ทุกวัน เธอจะเดินไปที่ริมหาดด้วยหัวใจเบิกบานแลัวหัน

กลับมาตะโกนบอกเกาะว่า

‘ฉันรักเธอ’

แต่เกาะไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดหรอก…เกาะอยู่ใน ฐานะผู้ให้เท่านั้น

แล้ววันหนึ่งความรักก็พบว่าเกาะไม่ใด้ทุกอย่างกับเธอคนเดียวเท่านั้น

ทั้ง ความรวย ความเห็นแก่ตัว ความเศร้า ความสุข ต่างก็ได้รับสิ่งต่างๆ

จาก เกาะเหมือนๆกัน

‘เกาะนี้ช่างสมบูรณ์เสียจริง’ ความรวยรำพึง

‘ฉันจะกอบโกยให้มากที่สุด’ ความเห็นแก่ตัวคิด

ส่วนความสุขไม่คิดอะไรเลยเขามีความสุขกับสิ่งที่ได้รับไปวันๆ…และ

แล้วความเศร้าก็โคจรมาพบความรัก

‘เธอมันโง่…สิ่งที่เธอทำไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอก ดูอย่างฉันสิ ไม่เคย

ได้ รับความรักจากใครเลย’

พูดแค่นี้แล้วความเศร้าก็เดินร้องไห้จากไปความรักรู้สึกสับสน น่า

เสียดายที่เกาะนี้ไม่มีความเข้าใจอาศัยอยู่ด้วไม่เช่นนั้นคงมีใครอธิบาย

สิ่งต่างๆให้ความรักเข้าใจว่าเธอไม่ใช่เจ้าของ เกาะ และเกาะรักเธอไม่

ได้ เธอร้องไห้ มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับความรัก เธอได้ ให้กำเนิดความริษยา

และความโกรธ สร้างความปั่นป่วนไปทั่วเกาะ สถานการแย่ขึ้นจนถึง

ขีดสุด มหันตภัยของ ชาวเกาะก็เกิดขึ้น ความเสื่อมนั่นเอง…. แล้ววัน

หนึ่งก็มีประกาศไปยังความรู้สึกทั้งหมดว่า เกาะกำลังจะจม วัฎจักรทั้ง

หมดก็เวียนอีกครั้ง ไม่มีใครช่วยความรักขึ้นเรือ…..เงาของใคร บางคน

พายเรือมาแต่ไกล…เวลา นั่นเอง

‘มานี่ความรักฉันจะรับคุณไปเอง’

‘ไม่…ฉันไม่ไปแล้ว..ฉันจะตายที่นี่…ทำไมเหตุการณ์นี้ต้องเกิดกับฉัน

อีก…’

ความรักพูดทั้งน้ำตา

เวลาถอนหายใจ แล้วตอบว่า

‘มันเป็นเช่นนี้เอง ตั้งแต่ก่อนจักรวาลจะเกิดมีเพืยงฉันและความว่าง

เปล่า เท่านั้น ฉันอยู่มานาน รู้เห็นทุกอย่าง ฉันบอกเธอไม่ได้หรอกว่า

ทำไม แต่ ฉันบอกเธอไม่ได้ดอกว่าทำไม แต่…ความรักเอํย เธอไม่เคยสัง

เกตุเหรอ ว่า ความทุกข์คือเงาของเธอ’

ความรักก้มมองเงาของตัวเองแต่เธอไม่สามารถเห็นอะไร

‘ฉันไม่ใช่พระเอกของเรื่องหรอกนะ ฉันมีหน้าที่พาเธอไปส่งยังเกาะที่

ใกล้ ใกล้ที่สุดเท่านั้น รีบขึ้นมาเถอะฉันต้องไปช่วยคนอื่นอีกเยอะ’

ความรักจำใจขึ้นเรือจนมาถึงเกาะ

‘แล้วเจอกันเมื่อวันนั้นมาถึง’ เวลากล่าว

‘แต่ฉันไม่อยากเจอคุณอีก พยายามค้นหาต่อไปเถิดเมื่อเธอกลายเป็น

ความรักที่แท้เมื่อไรเราจะไม่เจอกันอีก’

‘ทำไมหละ’

‘เพราะรักแท้อยู่เหนือกาลเวลา’

ว่าแล้วเวลาก็พายเรือจากไป วัฎจักรดำเนินไปตามทางของมัน

วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ใจบางๆ - อ้อน เกวลิน





ไม่ได้เก่งมาจากไหน

ผู้หญิงคนนึงก็มีเพียงหนึ่งหัวใจ

หากจะบีบก็ตาย

เหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือของเธอ



ถึงบางทีอาจดูก้าวร้าว

หรือบางคราวอาจดูเข็มแข็ง

ถ้าทิ้งกันฉันคงสิ้นแรงสิ้นใจ



หัวใจฉันบางๆ ไม่มีทางรับมือ

ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงก็คือผู้หญิงต้องเข้าใจ

รู้เพียงคำว่ารัก ไม่รู้จักคำว่าลา

สงสารฉันเถิดหนาไม่ได้ต่อรอง

แต่ขอร้องเธออย่าทิ้งฉันไป



ไม่ได้เก่งมาจากไหน

จะลบความจำล้างเธอออกจาก...หัวใจ

รวดเร็วเกินตั้งตัว

กลัวเหลือเกินขาดเธอจะเดินเช่นไร



ถึงบางทีอาจดูก้าวร้าว

หรือบางคราวอาจดูเข็มแข็ง

ถ้าทิ้งกันฉันคงสิ้นแรงสิ้นใจ



หัวใจฉันบางๆ ไม่มีทางรับมือ

ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงก็คือผู้หญิงต้องเข้าใจ

รู้เพียงคำว่ารัก ไม่รู้จักคำว่าลา

สงสารฉันเถิดหนาไม่ได้ต่อรอง

แต่ขอร้องเธออย่าทิ้งฉันไป



จะทำอะไรก็ดูขวางตา พูดจาก็ไม่เข้าที

ทำดีที่สุดแล้ว อยากให้เธอรัก

อยากให้เราเหมือนเดิม



หัวใจฉันบางๆ ไม่มีทางรับมือ

ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงก็คือผู้หญิงต้องเข้าใจ

รู้เพียงคำว่ารัก ไม่รู้จักคำว่าลา

สงสารฉันเถิดหนาไม่ได้ต่อรอง

แต่ขอร้องเธออย่าทิ้งฉันไป



หัวใจฉันบางๆ ไม่มีทางรับมือ

ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงก็คือผู้หญิงต้องเข้าใจ

รู้เพียงคำว่ารัก ไม่รู้จักคำว่าลา

สงสารฉันเถิดหนาไม่ได้ต่อรอง

แต่ขอร้องเธออย่าทิ้งฉันไป.

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ขอให้โชคดี

เข้าใจดีที่เธอจากฉันไป ก็เมื่อเธอเจอใครที่ดีกว่า
จะกังวลทำไมคำสัญญา ฉันไม่เคยจะโกรธจะโทษใคร

ฝากดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน ฝากบอกใครคนนั้นฉันเข้าใจ
ไม่ว่ามันจะนานสักเท่าไร ฉันก็ยังภูมิใจที่รักเธอ

ขอให้เธอไปดี ขอให้มีความสุข ขอให้เธอหมดทุกข์เสียที
ขอให้รักยืนยาว ให้เธอกับเขาโชคดี อย่าให้มีใครอีกเลยต้องเจ็บช้ำ

หากวันใดที่เธอต้องเสียใจ จะมีใครอีกคนเสียใจกว่า
หากวันใดที่เธอมีน้ำตา คิดถึงคนคนนี้ที่รักเธอ

ขอให้เธอไปดี ขอให้มีความสุข ขอให้เธอหมดทุกข์เสียที
ขอให้รักยืนยาว ให้เธอกับเขาโชคดี อย่าให้มีใครอีกเลยต้องเจ็บช้ำ

จะไม่ลืมว่าเราเคยรักกัน จะไม่จำว่าเธอทิ้งฉันไป
สิ่งดีๆยังมีในหัวใจ ไม่มีใครคนไหนแทนที่เธอ

ขอให้เธอไปดี ขอให้มีความสุข ขอให้เธอหมดทุกข์เสียที
ขอให้รักยืนยาว ให้เธอกับเขาโชคดี อย่าให้มีใครอีกเลยต้องเจ็บช้ำ

ฝากดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน ฝากบอกใครคนนั้นฉันเข้าใจ
ไม่ว่ามันจะนานสักเท่าไร ฉันก็ยังภูมิใจที่รักเธอ


วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

The Notebook ..... ปาฏิหาริย์บันทึกรัก

The  Notebook ..... ปาฏิหาริย์บันทึกรัก

เรื่องราวเกิดขึ้นภายใน สถานพักฟื้นคนชราแห่งหนึ่ง ชายชราคนนึงเพียรพยายามแวะเวียนไปหาหญิงชราคนหนึ่ง เพื่อจะไปอ่านอนุทิน(สมุดบันทึก)ให้กับหญิงชรา ซึ่งป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ ฟัง หลายครั้ง หญิงชราเริ่มมีอาการดีขึ้น บางครั้งก็แย่ แต่เขาก็ไม่เคยท้อถอย แม้แพทย์จะพร่ำบอกเสมอว่า อาการอัลไซเมอร์ของหญิงชราคนนี้ ไม่มีทางรักษาหาย และไม่มีวันดีขึ้น มีแต่จะแย่ลงแย่ลง จนถึงขั้น จำทุกสิ่งไม่ได้เลย

เรื่องราวในสมุดบันทึก ย้อนไปในยุคปี40 เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นในฤดูร้อนปี 1947 ของชายหนุ่มชนบทฐานะยากจน ชื่อโนอาห์ และ ลูกสาวเศรษฐีจากในเมือง ซึ่งมาเที่ยวพักผ่อนในชนบท ชื่อ แอลลี่ย์ ทั้งสองต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งฐานะ การศึกษา นิสัยใจคอ แต่แล้วทั้งสองก็มีใจให้กัน ความรักของทั้งคู่สุกใส เหมือนพลุที่ยิงขึ้นสู่ฟากฟ้า จวบจนกระทั่งซัมเมอร์ใกล้จบสิ้นลง ทั้งคู่ก็ถูกพรากจากโดยครอบครัวของฝ่ายหญิง ซึ่งมองว่า โนอาห์ ยังไม่ดีพอสำหรับลูกสาวตน

โนอาห์ เพียรพยายามเขียนจดหมายรักหา แอลลี่ย์ แต่ก็โดนกีดกัน สุดท้ายเขาจึงตัดใจไปทำงานในเมือง ก่อนจะออกไปร่วมรบสงครามโลกครั้งที่1 และกลับมาฐานะทหารผ่านศึก และได้ทำตามความฝันของตน คือบูรณะบ้านโบราณหลังใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งทั้งสองเคยมีความหลังกัน ให้ออกมาเป็นแบบที่สัญญากะแอลลี่ย์ไว้
มีภาพข่าวลงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น แอลลี่ย์ ซึ่งกำลังจะแต่งงานกับ รอน (พ่อหนุ่มไซคลอป-หนุ่มที่ทั้งหล่อ รวย การงานดี ที่สำคัญรักเธอ ) แอลลี่ย์ จึงกลับมาตั้งคำถามหัวใจตัวเองอีกครั้งว่า จริงๆแล้วในหัวใจเธอ เลือก โนอาห์ หรือ รอน กันแน่ เพื่อตรวจสอบหัวใจตัวเอง เธอจึงขออนุญาติแฟน ขับรถกลับไปเมืองเล็กๆ เมืองที่เธอเคยมีความทรงจำ เพื่อจะหา โนอาห์ อีกครั้ง หลังจาก ขาดการติดต่อกันไปร่วม10ปี

10 ข้อที่ควรดู The Notebook 2004

1. หนังเรื่องนี้คือหนังรักที่จะสะกดทุกคนให้ดูและเข้าใจถึงบทตัวละครอย่างลึกซึ้งไปกับหนังเป็นหนังรักที่โดดเด่นมากๆ ในปี 2004 และยังคงเป็นหนังรักในใจใครหลาบๆ คนรวมทั้งผมด้วย

2. The Notebook เป็นหนังแจ้งเกิดเต็มตัวของเจ้าแม่หนังรักโรแมนติกอย่าง Rachel McAdams ได้แบบโด่งดังหลังจากเธอทำให้คนรู้จักในหนังเรื่อง  Mean Girl ที่แสดงเป็นตัวร้ายแต่มาเรื่องนี้เธอกลายเป็นนางเอกที่แสดงได้แบบ ทุกคนที่ดูแทบจะลืมไม่ลงเลยทีเดียว

3. หนังเรื่องนี้การันตีการเข้าชิงรางวัลถึง 18 รางวัลชนะเลิศไปทั้งหมด 11 รางวัลและเข้าชิงอีก 7 รางวัลถือว่า ไม่ธรรมดาเลยสำหรับดีกรีหนังรัก

4. The Notebook ใช้เงินทุนสร้างไปทั้งหมด $29 million และกวาดรายได้ใน Box office มากถึง $115,603,229 ถือว่าประสบความสำเร็จแบบขีดสุดจริงๆ

5. หนังเรื่องนี้เป็นหนังรักที่จะทำให้ทุกคนเอิบอิ่มกับคำมั่นสัญญาของ เด็กหนุ่มและเด็กสาวในวัยเด็กสองคนที่รักของเค้านั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

6.The Notebook สร้างจากหนังสือขายดีสุดซึ้งของชายที่การันตีแล้วว่าเค้าถือนักแต่งเรื่องที่เด่นมากๆ มีหนังสือของเค้าหลายๆ เล่มที่ถูกไปสร้างเป็นหนังแค่ 1 ในนั้นเรื่องที่ประสบความสำเร็จแบบยอดเยี่ยมก็คือ The Notebook และชายคนนั้นมีชื่อว่า Nicholas Sparks.

7. อย่างที่เคยบอกไปในข้อก่อนๆ ว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้ท่านอินไปกับบทถึงมากที่สุดเพราะว่าจะมีหนังรักสักกี่เรื่องที่คู่พระนางจะตกลงเป็นแฟนกันต่อหลังจากถ่ายหนังเรื่องนั้นจบคู่ของ  Ryan Gosling and Rachel McAdams เป็นหนึ่งในนั้นทั้งสองเป็นแฟนกันทันทีหลังการถ่ายทำซึ่งผู้ชมหริอคนทั่วโลกก็เชียร์กันเพราะเหมือนยังอินกับตัวละครในเรื่องไม่หายและทั้งสองพระนางอาจจะคิดยังนั้น

8. หนังเรื่องนี้ที่ท่านจะดูอย่าง The Notebook เป็นหนังรักที่มีฉากจูบยอดเยี่ยมที่สุดในปี 2004 ที่ผู้คนร่วมโหวตให้ คู่ Ryan Gosling and Rachel McAdams จาก The Notebook ได้ไปหรือรางวัลที่เรียกว่า Best Kiss ในงาน  MTV Movie Awards 2005 และเป็น 1 ใน 11 รางวัลที่ได้ทั้งหมดด้วย

9. หนังเรื่องนี้ทุกคนอาจมองว่าหนังรักเห่ยๆ ทั้งคู่รักกันแบบนี้แต่ที่จริงคิดผิดทั้งหมดครับหนังเรื่องนี้จะแสดงให้เห็นทั้ง 2 ช่วง วัยเด็กทั้งคู่ที่รักกันและคำสัญญาต่างๆ และช่วงวัยแก่เฒ่านั้นจะเป็นอย่างไร เป็นหนังที่ลงตัวสุดๆ

10. หนังเรื่องนี้เป็นหนังรักแบ่งชนชั้นพระเอกความจนและความรวยแต่ทางด้านของโนอาห์จะแสดงให้เห็นว่า ความทะเยอทะยานเด็ดดอกฟ้านั้น มันมีอยู่จริงหรือไม่

วันพุธที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

วันนี้

วันนี้
ยัง .. จมอยู่ในความคิดอย่างไม่จาง
รู้สึกเหมือนทำใครบางคนให้โกรธ แล้วยังขุ่นเคืองไม่หาย
อยากบอกขอโทษ อยากบอกเสียใจ
..
..

นั่น จะ เป็นการวุ่นวายกับคุณมากไปหรือเปล่า
เพราะในบางที เจ้าตัวเอง อาจจะไม่รู้อะไรเลยก็เป็นได้
แต่ ฉันเชื่อในสิ่งที่ฉันกำลังรู้สึก


ได้แต่ทิ้งตัวเองให้จมเงียบ อยู่ในที่ทางอย่างนั้นต่อไป
แล้วแอบหวังอย่างเงียบ ๆ ว่า คุณ .... อาจจะเอ่ยออกมา
จะดี จะโกรธ จะเฉยชา ก็ อย่าได้โกรธเคืองข้ามวัน


เพราะ เราต่างไม่อาจจะรู้นาทีชีวิตได้
หลับตาลงไปคืนนี้ .. พรุ่งนี้อาจจะไม่มีมา