วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

งานวิจัยลดน้ำหนักสมุนไพรไทยสู่สินค้ามาตราฐานระดับโลก





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม



            เทคนิคลดความอ้วนของใครทำแล้วไม่เห็นผลสักที ลองอ่านงานวิจัยเรื่องลดน้ำหนักแห่งปี 2014 ดูซะก่อน แล้วจะตกใจว่าการลดน้ำหนักทำได้ง่ายกว่าที่คิดซะอีก ทำไมไม่เคยรู้มาก่อนเลยแฮะ !



          จากข้อมูลงานวิจัยเรื่องการลดน้ำหนักแห่งปี 2014 ในเว็บไซต์ Time.com  เผยว่า การจะลดน้ำหนักให้สำเร็จผลนั้น ส่วนหนึ่งต้องรู้ธรรมชาติของร่างกายเราให้ดีเสียก่อน และต้องปรับไลฟ์สไตล์การกินที่เหมาะสมกับตัวเราด้วย ซึ่ง 10 เรื่องเด่นของงานวิจัยแห่งปี 2014 ต่อไปนี้สามารถใช้เป็นแนวทางการดูแลตัวเองที่ดีได้ โดยเฉพาะคนที่ต้องการจะลดน้ำหนัก  ดังนั้น จะมัวชักช้าอยู่ไย เรามาเริ่มอ่านกันเลยดีกว่าว่างานวิจัย 10 เรื่องเด่นนั้นมีอะไรที่เราควรรู้ไว้บ้าง



 1. คาร์โบไฮเดรตไม่เหมาะที่จะเป็นอาหารยามดึก



          ผลการวิจัยเผยว่า ระบบย่อยอาหารในตอนกลางคืนของเราจะทำงานไม่ดีนัก จึงเผาผลาญแคลอรีได้น้อยกว่า  โดยเฉพาะอาหารหมู่คาร์โบไฮเดรต  ที่ร่างกายจะดึงไปเผาผลาญน้อยลง  ทำให้มีแคลอรีบางส่วนเผาผลาญไม่หมด ถูกเก็บสะสมเป็นไขมันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนั้น ควรหันมากินอาหารหมู่โปรตีนแทนดีกว่า



 2. เแบคทีเรียในลำไส้มีผลต่อน้ำหนักตัว



         จากผลวิจัยล่าสุดเผยว่า การที่เรามีรูปร่างอ้วน หรือผอมนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของแบคทีเรียในลำไส้ของเรา ซึ่งมีอยู่สองชนิดได้แก่ แบคทีเรียตัวอ้วน หรือ Firmicutes ที่จะทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้น้อย เกิดการสะสมไขมันมากขึ้น ที่แม้เรากินเพียงนิดหน่อย น้ำหนักตัวก็เพิ่มแล้ว ในทางกลับกัน หากเรากินมากแต่ไม่อ้วนขึ้นเลย  ก็แสดงว่าในลำไส้ของเรามีแบคทีเรียตัวผอมมากกว่า นั่นคือ แบคทีเรียชนิด  Bacteroidetes ที่ช่วยเร่งการเผาผลาญแคลอรี ดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ทำให้อาหารที่เรากินเข้าไปนั้นถูกเผาผลาญเป็นพลังงานมากกว่าสะสมเป็นไขมัน



 3. จิบกาแฟร้อนก่อนวิ่ง ร่างกายจะเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น



 10 เรื่องเด่นงานวิจัยลดน้ำหนัก คนอยากผอมต้องอ่าน !



         จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยจอร์เจียในสหรัฐอเมริกา เผยว่า การดื่มกาแฟก่อนวิ่งอย่างน้อยประมาณ 30 นาที จะช่วยเบิร์นแคลอรีได้มากขึ้นถึงร้อยละ 15 เป็นเพราะกรดคลอโรจินิก Chlorogenic acid (CGA)  ที่พบมากในกาแฟจะช่วยดึงไขมันที่สะสมไว้ในร่างกายมาเผาผลาญเป็นพลังงานได้มากขึ้นกว่าปกติ



 4. อ้วนมากเกินไป วิตามินดีถูกทำลาย



         มีผลงานวิจัยในปี 2014 หลายชิ้นที่มีความเห็นตรงกันว่า วิตามินดี กับความอ้วนเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกันอยู่ ส่วนหนึ่งเพราะวิตามินดีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันเพื่อนำมาใช้ในกระบวนการสร้างฮอร์โมนอิ่ม และยังเป็นวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของโรคอีกด้วย ดังนั้น หากใครที่มีน้ำหนักตัวเกิน มีไขมันในร่างกายสูง ระดับวิตามินดีในร่างกายก็จะน้อยลงด้วย ทำให้สามารถกินอาหารได้เยอะโดยไม่รู้สึกอิ่ม จึงควบคุมน้ำหนักตัวได้ยาก และยังมีความเสี่ยงเป็นโรคที่เกี่ยวกับการติดเชื้อได้ง่ายด้วย ได้แก่ โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคลำไส้อักเสบ ( Crohn's Disease) โรคเบาหวานประเภท 2 และโรคปลอกประสาทอักเสบ ((Multiple Sclerosis)

             

 5. สุขภาพของผู้หญิงวัยทองน่าเป็นห่วงที่สุด



         จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Journal of the Academy of Nutrition and Dietetics เผยว่า วัยหมดระดู หรือวัยทองในผู้หญิง ซึ่งอายุเฉลี่ยของวัยทองคือ 45 - 50 ปีขึ้นไป จะมีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านทั้งสุขภาพกายและใจ เช่น อ้วนง่าย อารมณ์แปรปรวน ผิวพรรณหยาบกร้านขึ้น อาการร้อนวูบวาบ กระดูกบางลง เป็นต้น สาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน ดังนั้น ผู้หญิงในช่วงอายุ 40 ปีควรเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึงให้ดี เช่น ควบคุมอาหาร ออกกำลังกายเป็นประจำ ลดอาหารหมู่คาร์โบไฮเดรตให้น้อยลง เน้นกินแคลเซียมและไฟเบอร์มากขึ้น เพื่อไม่ให้อ้วนค่ะ



10 เรื่องเด่นงานวิจัยลดน้ำหนัก คนอยากผอมต้องอ่าน !



 6. กรดไขมันดี FAHFAs มีประโยชน์กว่ากรดไขมันโอเมก้าทรี



         ผลการวิจัยจากศูนย์การแพทย์ Beth Israel Deaconess Medical Center ของสหรัฐฯ  เผยว่า ความจริงแล้วในร่างกายของเราก็สามารถสร้างกรดไขมันดีได้เองเหมือนกัน และยังมีประโยชน์กว่ากรดไขมันที่หาได้จากปลาทะเลน้ำลึกอย่างโอเมก้าทรีอีกด้วย นั่นคือ  FAHFAs (Fatty Acid  Hydroxyl  Fatty Acids)  โดยร่างกายจะสร้างออกมาถึงร้อยละ 50-75 เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และปรับสมดุลการผลิตอินซูลินในร่างกาย จึงช่วยป้องกันโรคเบาหวานประเภท 2 ได้

       

 7. แบ่งกิน 5 มื้อย่อยต่อวัน ดีต่อสุขภาพจิต



         จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยวอริก ประเทศอังกฤษ เผยว่า การแบ่งกินมื้อย่อยเป็น 5 มื้อนั้นช่วยให้ลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น และยังสามารถบรรเทาความเครียดได้ด้วย ซึ่งการกินมื้อย่อย ๆ จะทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญแคลอรีตลอดทั้งวัน อีกทั้งยังทำให้เราอารมณ์ดีขึ้น ทำให้สมองปลอดโปร่ง สามารถผุดไอเดียความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น คิดบวกมากขึ้น และเพิ่มการเรียนรู้และจดจำได้มากขึ้นด้วย



 8. รสอูมามิก็มีอยู่ในผัก



 10 เรื่องเด่นงานวิจัยลดน้ำหนัก คนอยากผอมต้องอ่าน !



         จากผลการวิจัยในวารสาร American Journal of Clinical Nutrition เผยว่า รสที่ 5 หรือ รสอูมามิ เป็นรสชาติที่เพิ่มความกลมกล่อมให้กับอาหารของเรา ซึ่งความจริงแล้วสามารถพบได้ตามธรรมชาติ อย่างในผัก เช่น หน่อไม้ฝรั่ง เห็ด เห็ดทรัฟเฟิล ชาเขียว สาหร่าย และมะเขือเทศ โดยที่อาหารเหล่านี้เมื่อนำไปปรุงอาหารแล้ว ก็จะให้อาหารมีรสชาติกลมกล่มขึ้นโดยที่เราแทบไม่ต้องปรุงรสชาติอื่นเพิ่มเลย



 9. กินน้อย ไม่ออกกำลังกาย ก็อ้วนได้



         โดยปกติแล้วร่างกายควรได้รับอาหารไม่เกิน 2,000 แคลอรีต่อวันสำหรับผู้ชาย และไม่ควรเกิน 1,500 แคลอรีต่อวันสำหรับผู้หญิง ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะกินน้อยกว่าแคลอรีต่อวันที่กำหนด  แต่ถ้าไม่ค่อยมีกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายมากนัก ก็ทำให้อ้วนได้อีกเช่นกัน  โดยจากผลการวิจัยในประเทศอังกฤษเผยว่า น้ำหนักก็คือแคลอรีส่วนเกิน ซึ่งเป็นผลให้รูปร่างของเราไม่เฟิร์มกระชับ  ดังนั้น แม้ว่าจะกินน้อย หรือกินแต่ของที่มีประโยชน์ เราก็ต้องบริหารร่างกายด้วย โดยที่ควรจะออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยวันละ 30 นาที



 10. หัวเราะบ่อยครั้ง บริหารกล้ามเนื้อท้อง



          การหัวเราะทำให้เราสมองของเราปลอดโปร่ง อารมณ์แจ่มใสด้วย มีผลทำให้เราสามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีกว่าตอนที่อยู่ในอารมณ์เครียด หรือไม่ค่อยขำขันกับเรื่องราวต่าง ๆ โดยในขณะที่เรากำลังหัวเราะนั้น ร่างกายจะทำการกระตุ้นสร้างคลื่นสมองแกมมา ซึ่งเป็นคลื่นสมองที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองที่เชื่อมโยงความทรงจำ ระดับการเรียนรู้ ระดับสมาธิและการมองโลกในแง่ดี ทำให้เรารู้สึกสมองปลอดโปร่งมากขึ้น จดจำอะไรได้แม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้แล้ว การหัวเราะยังเป็นการบริหารกล้ามเนื้อท้องให้แข็งแรงอีกด้วยนะคะ



                ทั้งนี้ การลดน้ำหนักของสาว ๆ ต้องอยู่ในระดับที่พอดีด้วยนะคะ หากลดได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้แล้ว ก็ควรรักษามาตรฐานน้ำหนักเอาไว้ให้ดี ส่วนใครที่อยากลดน้ำหนักให้ได้เร็ว ๆ  ก็สามารถนำคำแนะนำของผลงานวิจัยที่เรานำมาฝากนี้ไปปรับใช้กันดูได้นะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2560

“ไปลา-มาไหว้”

 “ไปลา-มาไหว้” มารยาทไทยที่เป็นวัฒนธรรมการทักทาย เวลาพบปะกันหรือลาจากกัน “การไหว้” เป็นการแสดงถึงความมีสัมมาคารวะ และการให้เกียรติซึ่งกันและกัน นอกเหนือจากการกล่าวคำว่า “สวัสดี” ศาสตราจารย์ ดร.กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิต ได้เคยเขียนเรื่องนี้ไว้ว่า คนไทยเป็นคนที่มีอุปนิสัยอ่อนน้อม มีสัมมาคารวะ การไหว้เป็นการแสดงความมีสัมมาคารวะอย่างหนึ่ง และเป็นธรรมเนียมการทักทายและแสดงความเคารพ เมื่อจะไปโรงเรียนและเมื่อกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านลูกจะไหว้พ่อแม่ถ้ามีผู้ปกครองก็ไหว้ผู้ปกครอง เมื่อไปถึงโรงเรียนและเมื่อกลับจากโรงเรียนเด็กจะไหว้ครู การไหว้ทำให้ผู้ใหญ่รักและเอ็นดู คนที่พบเห็นก็ชื่นชม ในภาษาไทยมีคำกล่าวถึงผู้ที่มีสัมมาคารวะและได้รับการอบรมมรรยาทให้รู้จักไหว้ว่า รู้จัก “ไปลามาไหว้” หมายความว่า เมื่อมาถึงก็ ไหว้ เมื่อจะไปก็ลา

            วัฒนธรรมในเรื่องของการไหว้นั้น มีความเป็นมาอย่างไร ไม่มีหลักฐานที่ระบุไว้แน่ชัด นายพะนอม แก้วกำเนิด อดีตเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น กรมส่งเสริมวัฒนธรรม) ได้ให้ความเห็นว่า การไหว้นั้นเกิดจากธรรมชาติของมนุษย์ที่จะแสดงความรัก ความเคารพต่อกัน เนื่องจากมนุษย์มีสมอง มีพัฒนาการที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จึงมีความคิดว่าทำอย่างไรจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จะกินอาหารอย่างไรจึงจะดีต่อสุขภาพ แต่งตัวอย่างไรจึงจะเหมาะสม ที่อยู่อาศัยทำอย่างไรจึงจะปลอดภัย รวมไปถึงเมื่อเจอกันจะทักทาย จะแสดงความรักต่อกันอย่างไรดี โดยธรรมชาติแล้วการสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวกัน เป็นภาษาท่าทางที่แสดงออกถึงความรักที่มีต่อกัน สัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขหรือแมวมักจะแสดงความรักกับเจ้าของด้วยการเข้ามาสัมผัสคลอเคลียด้วย มนุษย์ก็เช่นกันที่มีการแสดงความรักต่อกันด้วยการโอบกอด หลายประเทศทางยุโรปใช้การสัมผัสมือเมื่อพบกัน บางประเทศใช้แก้มสัมผัสกัน ใช้หน้าผากสัมผัสกัน หรือใช้จมูกสัมผัสกันก็มี แต่ทางแถบเอเชียนั้นการสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวผู้อื่นนั้นถือว่าไม่สุภาพนัก คนทางแถบเอเชียจึงใช้การสัมผัสตัวเองเป็นการแสดงการทักทายหรือทำความเคารพ เช่นชาวจีนใช้มือทั้งสองข้างสัมผัสกันเพื่อแสดงการคารวะ  อินเดียใช้ฝ่ามือทั้งสองประนมประกบกันเหมือนดอกบัวตูม เพื่อแสดงความเคารพและบูชา ของไทยเราน่าจะรับวัฒนธรรมนี้มาจากอินเดีย นำมาปรับปรนให้เหมาะกับวิถีชีวิตของคนไทยจึงเกิดเป็นวัฒนธรรมการไหว้ที่แบ่งเป็นระดับต่างๆ ขึ้นมา โดยใช้มือกับใบหน้าเป็นตัวแบ่งระดับ

            “การไหว้”  เป็นภาษาท่าทางที่ใช้แสดงความเคารพ ทักทาย โดยการยกมือสองข้างประนม พร้อมกับยกขึ้นไหว้ในระดับต่างๆ นอกจากนี้ยังแสดงออกถึงความหมายของ การขอบคุณ การขอโทษ การยกย่อง การระลึกถึง และอีกหลายความหมายสุดแท้แต่โอกาส  การไหว้เป็นการแสดงมิตรภาพ มิตรไมตรี ที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นวัฒนธรรมที่งดงาม รวมทั้งเป็นสิ่งที่แสดงถึงเอกลักษณ์ และเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนไทย ที่ปัจจุบันกำลังเลือนหายและถูกละเลยอย่างน่าเสียดาย ประเทศไทยซึ่งเคยได้ชื่อว่ามีวัฒนธรรมที่งดงามเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม (Land of Smile) ที่ผู้คนรู้จักไปทั่วโลก กำลังสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป ทั้งที่การไหว้เป็นมารยาทแบบไทยๆ ที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก

            เมื่อพูดถึงเรื่องการไหว้ หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ไม่ทันสมัย อายที่จะปฏิบัติ หรือไม่ก็กลัวว่าจะไหว้ผิดบ้าง กลัวถูกมองว่าประหลาดบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องของมารยาทไทยนั้นไม่มีคำว่าผิดหรือถูก มีแต่ความนุ่มนวล สวยงามหรือไม่เท่านั้น ดังนั้นวิธีการปฏิบัติจึงเป็นเพียงแนวทาง ที่ผู้ปฏิบัติสามารถนำไปปรับปรน ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับเวลาและสถานที่ ซึ่งแนวปฏิบัติในเรื่องของการไหว้นั้น กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้กำหนดระดับของการไหว้ไว้ ๓ ระดับ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือและใบหน้าเป็นตัวกำหนดตำแหน่ง ดังนี้

            การไหว้ระดับที่ ๑ ใช้สำหรับไหว้พระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมถึงโบราณสถาน โบราณวัตถุทางพุทธศาสนา ในกรณีที่เราไม่สามารถกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ได้ โดยให้นิ้วหัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว นิ้วชี้สัมผัสส่วนบนของหน้าผาก นัยว่า พระรัตนตรัยเป็นสิ่งที่ควรเคารพอย่างสูงสุด จึงยกมือที่ประนมขึ้นให้สัมผัสส่วนที่สูงสุดของร่างกาย หรืออีกนัยหนึ่งว่าพระรัตนตรัยนั้นเป็นดวงแก้วมณีที่ประเสริฐ มีค่าสูง คอยกำกับและสอนให้เรามีสติมีปัญญาอยู่ตลอดเวลา จึงสมควรแก่การเคารพกราบไหว้ การไหว้ในระดับที่ ๑ นี้ จึงให้ยกมือที่ประนมขึ้นให้นิ้วหัวแม่มืออยู่ระหว่างคิ้วทั้งสองข้างนั่นเอง

            การไหว้ระดับที่ ๒ ใช้สำหรับไหว้ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ครู อาจารย์และผู้ที่มีเราเคารพนับถืออย่างสูง โดยให้นิ้วหัวแม่มือจรดปลายจมูก นิ้วชี้สัมผัสระหว่างคิ้ว นัยว่า บุคคลกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ควรแสดงความเคารพอย่างสูงรองลงมาจากพระรัตนตรัย มือที่สัมผัสส่วนของใบหน้าจึงลดต่ำลงมา หรืออีกนัยหนึ่งว่า บุคคลกลุ่มนี้ทำให้เรามีลมหายใจเกิดขึ้นมาได้ และเป็นผู้มีพระคุณที่ทำให้เราดำเนินชีวิตอยู่ได้ในสังคม ควรแก่การแสดงความเคารพการไหว้ในระดับที่ ๒ จึงให้ยกมือที่ประนมขึ้นให้นิ้วหัวแม่มืออยู่บริเวณปลายจมูก

            การไหว้ระดับที่ ๓ ใช้สำหรับไหว้บุคคลทั่วๆไป ที่มีวัยวุฒิสูงกว่าเราไม่มากนัก รวมถึงใช้แสดงความเคารพผู้ที่เสมอกันหรือเป็นเพื่อนกันได้ด้วย โดยให้นิ้วหัวแม่มือจรดปลายคาง นิ้วชี้สัมผัสบริเวณปลายจมูก นัยว่าบุคคลกลุ่มนี้ควรแก่การเคารพรองลงมาจากบิดา มารดา มือที่สัมผัสส่วนของใบหน้าจึงลดต่ำลงมาตามลำดับ หรืออีกนัยหนึ่งว่า บุคคลกลุ่มนี้ เป็นผู้ที่เราจะต้องพบปะพูดคุยอยู่ด้วยเป็นประจำ การใช้วาจาจึงเป็นสิ่งที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ การไหว้ระดับที่ ๓ จึงให้ยกมือที่ประนมขึ้นให้นิ้วหัวแม่มืออยู่บริเวณปลายคาง

            ในการยืนไหว้นั้น ชายให้ยืนตัวตรง ค้อมตัวลงพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ ตำแหน่งของนิ้วหัวแม่มือให้ถูกต้องตามระดับของบุคคลที่เราแสดงความเคารพ จากนั้นลดมือลงพร้อมกับยืดตัวขึ้นกลับมาในท่ายืนตรงตามเดิม

            สำหรับหญิงนั้น เมื่อยืนไหว้ ให้ถอยเท้าใดเท้าหนึ่งที่ถนัดไปข้างหลังเล็กน้อย พร้อมกับย่อตัวยกมือขึ้นไหว้ ตำแหน่งของนิ้วหัวแม่มือให้ถูกต้องตามระดับของบุคคลที่เราแสดงความเคารพ จากนั้นจึงลดมือลงพร้อมกับชักเท้าที่ถอยไปกลับมาอยู่ในท่ายืนตรงตามเดิม  หรือจะใช้การยืนตรงไหว้แบบชายก็ได้

            ส่วนการประนมมือไว้ที่ระดับอกนั้น เป็นการแสดงอาการรับไหว้ คือ เมื่อมีผู้น้อยมาแสดงความเคารพเราด้วยการกราบหรือไหว้ เราต้องแสดงอาการรับไหว้ตอบ เป็นการแสดงให้รู้ว่าเราให้ความสนใจกับผู้ที่เข้ามาแสดงความเคารพ และทำให้เขาไม่เกิดอาการเคาะเขินด้วย การไหว้และการรับไหว้จะดูนุ่มนวลและสวยงาม หากทำไปพร้อมๆ กัน  การรับไหว้ที่ให้ประนมมือขึ้นอยู่ระหว่างอกนั้น นัยว่า เป็นการแสดงออกที่มาจากใจ นั่นเอง

            เมื่อเรารู้ถึงตำแหน่งของการไหว้แล้ว การนำไปปฏิบัติก็ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด ไม่ว่าเราจะยืนอยู่ นั่งเก้าอี้ หรือนั่งกับพื้น เราก็สามารถแสดงความเคารพด้วยการไหว้ได้ทั้งสิ้น

            มารยาทในการไหว้ เป็นวัฒนธรรมไทยที่คนรุ่นใหม่อาจจะมองข้ามไป ด้วยเหตุผลหลายประการ แต่โดยสำนึกของความเป็นคนไทยแล้ว เชื่อว่าในส่วนลึกของจิตใจทุกคน ยังเห็นสิ่งนี้เป็นสิ่งดีงามอยู่ เพียงแต่ กระแสวัฒนธรรมตะวันตกที่เข้ามาทางสื่อต่างๆ ถาโถมมาอย่างมากมาย จนทำให้เยาวชนของเราหลงใหลไปบ้าง ทำให้หลงลืมสิ่งดีงามที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมไป ปัจจุบันจะเห็นว่าหลายหน่วยงาน หันกลับมาให้ความสนใจความเป็นไทยมากขึ้น เห็นได้ชัดตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อที่มีอยู่มากมาย ที่พนักงานไหว้แสดงการต้อนรับและขอบคุณลูกค้า ถึงแม้จะไหว้ได้ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง ไหว้ได้สวยบ้างไม่สวยบ้าง แต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น เป็นกันเองเสมือนญาติพี่น้องกันมากขึ้น


บทความโดย กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม

วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2560

คำว่าฮักกัน มันเหี่ยถิ่มไส - ข้าวทิพย์ ธิดาดิน 【OFFICIAL COVER VERSION】





อ้ายบ่อยากเชื่อสายตา ว่าภาพตรงหน้าสิเป็นความจริง
ก็คนที่เคยสัญญา คนบอกกันว่าบ่ตายสิบ่ทอดทิ้ง
กำลังกอดกันอิ้งติ้ง กอดอิ้งติ้งอยู่กับผู้อื่น

กะยกให้เพิ่นเบิดใจ เมื่อคราวเคียงใกล้ร่วมใช้วันคืน
สิหยุดที่กันและกัน หนักร่วมฝ่าฟันอยากสิส่อยกันบืน
จังได๋มากลายเป็นอื่น มาเฮ็ดกันได้แท้หนอใจคน

* แล้วคำว่าฮักกัน มื้อนั่นมันเหี่ยถิ่มไส
แล้วคนที่ว่าฮักหลาย มื้อนี่หัวใจเอาไผมาปน
แทบบ่มีแฮงหายใจ หล่าหล่อยไปทั้งตัวตน
กลั้นใจฟังเหตุผล ของคนที่เซาฮักกัน

อ้ายเคยโทษเขาเบิดแฮง ว่าเขามาแย่งว่าเขาเป็นมาร
แต่เมื่อได้เห็นตำตา จังได้ฮู้ว่าอ้ายโง่มาตั้งนาน
ที่แท้กะเป็นนำกัน ถิ่มกันง่ายแท้หนอใจคน

ซ้ำ *

อ้ายบ่อยากฟังเหตุผล ของคนที่เซาฮักกัน

วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560

ทำยังไงให้ตัวเองเป็นคน "โชคดี"





ความลับของคนโชคดี



คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่า ความโชคดีคืออะไร? แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะมีความโชคดีเป็นของตัวเอง บางคนอาจรอคอยและคิดว่าสักวันหนึ่งโชคคงเป็นของเราบ้าง บ้างก็คิดว่าความโชคดีมาจากบุญเก่าที่สร้างไว้ ผลบุญจึงส่งผลให้เขาโชคดีและประสบความสำเร็จ







         ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า "ความโชคดี" ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน มันมักจะเลือกเกิดขึ้นกับคนที่ลักษณะพิเศษ ใครจะรู้ว่าเราเองก็สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้ว่า เรากำลังจะโชคดี แล้วคนที่เขาประสบความสำเร็จหลายๆ ท่าน (หรือที่เราเรียกว่า "โชคดี" นั้น) เขามีสูตรลับในการทำให้ตัวเองเป็นคนโชคดี ดังงานศึกษาของ



ศ.ริชาร์ด ไวส์แมน นักจิตวิทยามีคำตอบให้คุณ



ในช่วงสิบปีเขาได้ทำการทดลองเกี่ยวกับเรื่องโชค เพื่อต้องการทราบว่าทำไมคนบางคนจึงมักอยู่ถูกที่ถูกเวลาเสมอ

ขณะที่คนอีกกลุ่มดูเหมือนว่าประสบแต่ชะตากรรมที่ไม่พึงประสงค์

โดยเริ่มทดลองจากการลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์เพื่อประกาศขอให้คนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคดี และโชคไม่ดีติดต่อกลับมามี

ผลตอบรับมีทั้งชาย และหญิงกว่าร้อยคนติดต่อกลับมาว่าพร้อมจะเป็นอาสาสมัครในงานวิจัย และสิ่งที่เริ่มทำอย่างแรกคือ การสัมภาษณ์ พูดคุย ศึกษาวิธีการใช้ชีวิต และให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมในการทดลอง



ผลที่ออกมาบอกว่า แม้คนเหล่านี้ไม่เคยมีความเข้าใจใดๆ เลยว่าทำไมเขาถึงมีโชค หรืออับโชค แต่วิธีคิด และพฤติกรรมของพวกเขากลับมีความสัมพันธ์อย่างมากกับความโชคดี หรืออับโชค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของการได้รับโอกาส คนที่โชคดีมีความสม่ำเสมอในการพบเจอกับโอกาสต่างๆ ในขณะที่อีกกลุ่มไม่ได้เป็นแบบนั้น



จากการทดลองอย่างง่ายเพื่อหาคำตอบว่ามีความแตกต่างใดๆ ในความสามารถในการพบเจอโอกาสต่างๆ นักวิจัยจึงให้หนังสือพิมพ์เล่มหนึ่งแก่พวกเขา แล้วให้เขาตอบคำถามว่ามีรูปภาพกี่รูปในหนังสือพิมพ์ ทั้งนี้ นักวิจัยได้แอบใส่ข้อความขนาดใหญ่ในหนังสือพิมพ์ว่า ‘บอกเราว่าคุณเห็นข้อความนี้ แล้วคุณจะได้รางวัล $50’



ข้อความนี้ใช้พื้นที่ประมาณครึ่งหน้า โดยที่ตัวอักษรมีความสูงมากกว่า 2 นิ้ว เรียกได้ว่าเตะตาคนอย่างแน่นอน แต่เชื่อไหม

คนกลุ่มอับโชคส่วนใหญ่ไม่เห็นข้อความนี้ แต่คนโชคดีส่วนใหญ่มองเห็นมัน!!!



คนอับโชคมีลักษณะเป็นคนตึงๆ เครียดๆ มากกว่าคนโชคดี ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้เป็นตัวรบกวนความสามารถในการสังเกตเห็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายต่างๆ จากผลลัพธ์ที่กล่าวมา พวกเขามักจะพลาดโอกาสต่างๆ เสมอ (โดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว) เพราะคนอับโชคมักจะเพ่งความสนใจมากเกินไปกับเรื่องบางเรื่อง มองอะไรแคบๆ อยู่ในโลกแคบๆ เวลาพวกเขาไปงานเลี้ยงก็จะคอยมองหาแต่กลุ่มเพื่อนสนิทจนพลาดโอกาสที่จะรู้จักเพื่อนใหม่ๆ เวลาอ่านหนังสือพิมพ์ พวกเขาจะมองแต่เรื่องที่อยากอ่าน จนถึงกับทำให้พลาดเรื่องที่เป็นผลประโยชน์แก่พวกเขาไปเลย



ในทางตรงข้าม คนโชคดีมีลักษณะนิสัยที่ผ่อนคลาย และเปิดกว้างมากกว่า และมักจะเห็นสิ่งต่างๆ ว่าอะไรเป็นอะไร มากกว่าจะเห็นแค่สิ่งที่เขากำลังค้นหา งานวิจัยของผมบอกในท้ายที่สุดว่า คนโชคดีสร้างชะตากรรมของพวกเขาขึ้นมาเอง ผ่านคุณลักษณะที่สำคัญ 4 ประการ ได้แก่

1. ทักษะในการสร้างโอกาส และมองเห็นโอกาส

2. ตัดสินใจอย่างชาญฉลาด โดยการฟัง “การหยั่งรู้ที่เกิดขึ้นในใจ” ของคนอื่น

3. สร้างความคาดหวังในด้านบวกด้วยตัวเอง เชื่อในอนาคตที่สมหวัง

4. มีทัศนคติที่ยืดหยุ่น ที่สามารถเปลี่ยนโชคไม่ดีในชีวิต ให้เป็นเรื่องดีได้



ในช่วงท้ายของการวิจัย มีการกระตุ้นความอยากรู้ว่าหลักการทั้ง 4 ข้อนี้มีประสิทธิภาพในการสร้างโชคดีได้มากเพียงใด

จึงได้ขอให้อาสาสมัครใช้เวลาอีกหนึ่งเดือนเข้ารับการฝึกฝนตามโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อช่วยฝึกให้พวกเขาคิด

และปฏิบัติแบบคนโชคดี



ผลลัพธ์ที่ได้ยิ่งกว่านิยาย พวกเขาสามารถสังเกตเห็นโอกาสมากขึ้น มีทักษะการฟัง และเข้าใจความคิดของผู้อื่นมากขึ้น มีความเชื่อในอนาคตที่ดีๆ มากขึ้น และสามารถมองเรื่องร้ายๆ ให้เป็นเรื่องดีได้



หนึ่งเดือนหลังจากนั้น อาสาสมัครได้กลับมาอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้น่าประหลาดใจอีกแล้ว กว่า80% ของอาสาสมัครรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขขึ้น รู้สึกพอใจกับชีวิตมากขึ้น และในบางครั้ง (ซึ่งสำคัญมาก) รู้สึกว่าตัวเองมีโชคมากขึ้น





คนที่โชคดีอยู่แล้ว ดียิ่งขึ้น –  คนอับโชค เริ่มมีโชคดีบ้าง

ท้ายที่สุด ‘ปัจจัยแห่งโชค’ ประกอบด้วย

1. เชื่อสัญชาติญาณลึกของคุณ – มันมักจะถูกต้อง

2. เปิดกว้างให้กับประสบการณ์ใหม่ๆ – ลองเปลี่ยนรูปแบบที่จำเจดูบ้าง

3. ให้เวลาตัวเองสักครู่หนึ่งในทุกวัน ทบทวน และจดจำเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้น

4. วาดภาพความโชคดีก่อนลงมือทำสิ่งสำคัญๆ





เคล็ดลับการสร้างความโชคดี



           1. ต้องเรียนรู้ที่จะสร้างโอกาสดีๆ และไม่ทิ้งโอกาส ตามกฎของคนโชคดี เขามักจะมีเพื่อนเยอะ เอาไว้ขอความช่วยเหลือ ยิ่งมีเพื่อนมากโอกาสก็เยอะมากขึ้นไปด้วย ต้องเป็นคนที่เปิดกว้างยอมรับสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น อย่าใช้ชีวิตแบบตีกรอบ สามารถยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์



           2. จงเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเอง (สัญชาตญาณ) คุณเชื่อไหมว่าการตัดสินใจครั้งแรกมักเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ขอให้เชื่อในสัญชาตญาณแรกของตัวเอง อย่าโลเล เพราะนั่นอาจทำให้คุณช้าหรือเสียโอกาส ทั้งยังควรตัดสินใจให้เด็ดขาด มีจุดยืนที่ชัดเจนและอย่าหวั่นไหวกับสิ่งรอบข้าง หนักแน่นเข้าไว้



           3.ต้องมีความฝัน และเชื่อว่ามันจะเป็นจริงได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตคนเรานั้นล้วนมาจากความคิด เพราะความคิดเป็นตัวนำแห่งการกระทำ ดังนั้นไม่ว่าคุณคิดอย่างไร สิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้นกับคุณไม่ช้าก็เร็ว เพียงแค่มีความเชื่อว่าจะต้องเป็นไปได้ แม้มันจะห่างไกลหรือดูริบหรี่ แต่ก็ยังดีกว่าคนที่ไม่เคยแม้กระทั่งจะคิด เพราะมันทำให้เขาไม่มีเป้าหมายในชีวิต



           4.เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส คนโชคดีเขามักจะมองเห็นความผิดพลาด แล้วพลิกอุปสรรคนั้นเป็นแรงผลักดันให้ต่อสู้ใหม่อย่างถูกวิธี ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง และรู้จักเรียนรู้ที่จะแก้ไขปรับปรุงจนกว่าจะถูกต้อง สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดความแม่นยำในการดำรงชีวิตและเกิดความผิดพลาดน้อยลง ผิดกับบางคนที่เห็นอุปสรรคเป็นเรื่องใหญ่และล้มเลิกเพียงเพราะกลัวการแก้ปัญหา



           5.เป็นคนจริงใจ ไม่ว่าคุณจะทำการใดก็ตาม หากทำให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าคุณมีความจริงใจ (จากใจจริงด้วยนะ) แล้วล่ะก็ คุณก็จะได้รับความจริงใจกลับมาเช่นกัน ตัดปัญหาการเอารัดเอาเปรียบไปได้เลย นี่ก็เป็นอีกข้อที่คนโชคดีเขาทำกันจนเป็นนิสัย



           6.รู้จักนอบน้อมถ่อมตน และรู้จักกตัญญูรู้คุณ นี่คือประการสำคัญ เพราะถือว่าเป็นอาวุธที่มนุษย์ทุกคนสามารถสร้างได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินซื้อ เพียงแค่หมั่นฝึกฝนและทำให้เป็นนิสัย การอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นเป็นกิริยาที่สร้างเมตตาให้เกิดแก่ตนเอง หากใครปฏิบัติจนเป็นนิสัยก็มักจะได้รับความช่วยเหลือ หรือหากมีปัญหาก็สามารถคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย ส่วนความกตัญญูนั้น ก็จะทำให้คุณได้รับน้ำใจจากผู้ที่มีพระคุณอย่างต่อเนื่อง และให้ความรักความเมตตาพร้อมทั้งได้รับการอุปถัมภ์ในเรื่องต่างๆ อย่างเต็มใจอีกด้วย


วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2560

A Perfect Murder เจ็บหรือตายอันตรายเท่ากัน

http://moviesdhd.blogspot.com/2014/04/a-perfect-murder.html

A Perfect Murder เรื่องนี้รีเมคจากหนังคลาสสิกของ Alfred Hitchcock เรื่อง Dial M for Murder ครับ สตีเวน (Michael Douglas) รู้ว่า เอมิลี่ ภรรยาของเขา (Gwyneth Paltrow) กำลังคบชู้อยู่กับศิลปินที่ชื่อเดวิด (Viggo Mortensen) แต่แทนที่จะโวยวายเขากลับซุ่มเงียบครับ ก่อนจะติดต่อเดวิดให้ช่วยลงมือฆ่าเอมิลี่แทน! ถ้าว่ากันถึงความขลังหนังคงเทียบต้นฉบับไม่ได้ครับ แต่หนังก็ยังมีดีที่นักแสดง คัดมาได้เหมาะมาก โดยเฉพาะ Douglas ที่เชี่ยวชาญสุดๆ ในบทคนเลือดเย็นแบบซ่อนเงียบ, Paltrow กับ Mortensen ก็สวมบทบาทได้พอเหมาะ และอีกรายที่น่าจดจำคือ David Suchet ในบทเจ้าหน้าที่ที่มาสืบคดี (หลังเดวิดลงมือไปแล้ว) รายหลังนี่ดูฉลาดหัวไว แต่ก็ใจเย็นและช่างสังเกต เรียกว่าพอฟัดพอเหวี่ยงกับ Douglas ทีเดียวครับ จุดสนุกของหนังคือการได้เห็น 4 ดารามาเชือดเฉือนฝีมือกันครับ ส่วนเนื้อหาก็ซับซ้อนพอประมาณ น่าติดตามในระดับหนึ่ง แม้จะมีช่วงอืดยืดบ้างแต่ก็ไม่มาก ตอนเห็นชื่อผู้กำกับก็แอบประหลาดใจเล็กๆ ครับ เพราะเขาคือ Andrew Davis ที่ถนัดทำหนังแอ็กชันอย่าง The Fugitive และ Under Siege พอมาเรื่องนี้ก็ถือว่าทำได้ไม่เลวครับ เพียงแต่บทหนังยังเข้มข้นได้อีกพอสมควร กระนั้นผลที่ได้ก็จัดว่าพอเพลินอยู่ เป็นหนังระทึกขวัญอีกเรื่องที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบ 4 ดารานำครับ หรือถ้าชอบแนวระทึกก็สามารถลองลิ้มได้ครับ แต่ขออย่างเดียวคือพยายามอย่าเอาไปเปรียบกับต้นฉบับของ Hitchcock ก็แล้วกัน

วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2560

เหตุแห่งความรัก ลำดับของเนื้อคู่







ลำดับของเนื้อคู่

เพราะเหตุที่แต่ละคนมีเนื้อคู่จำนวนมากมาย จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าแล้วใครกันเล่าที่สมควรจะได้อยู่เป็นคู่ครองกันมากที่สุด และจะมีวิธีการเลือกอย่างไร แม้จะมีเนื้อคู่จำนวนมากมาย แต่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เมื่ออยู่ร่วมกันแล้วมีความสุขที่สุด เมื่อพบหน้ากันแล้วไม่อาจตัดใจรักให้ขาดจากกันได้ บุคคลนี้คือเนื้อคู่ที่ได้อยู่ร่วมกันมามากที่สุดเป็นแสนเป็นล้านชาติ เป็นเนื้อคู่ลำดับที่ ๑ กฎแห่งกรรมจะจัดสรรการมีคู่ไว้ให้เราเรียบร้อย คือ หากเรามีเนื้อคู่เกิดมาพร้อมกัน ใจเราจะเป็นผู้เลือกเนื้อคู่ลำดับต้นเสมอ เมื่อเลือกแล้วคู่ลำดับอื่นเขาจะหลีกทางและไปหาคู่ของเขาต่อไป แต่กฎแห่งกรรมอีกเช่นกัน ที่บางชาติ กลับทำให้คู่ลำดับต้น ๆ ได้มาพบกันทีหลังหลังจากที่อีกฝ่ายได้เลือกคู่ครองไปแล้วซึ่งแม้จะได้พบกันทีหลัง แต่เพราะเป็นคู่ลำดับต้น จิตใจของทั้งคู่ก็จะร้อนรนทนไม่ไหว จึงต้องรักกันอีกครั้งซึ่งความรักครั้งนี้ต้องหัก ต้องบังคับฝืนใจกันอย่างเต็มกำลัง กล่าวกันว่าแม้พระภิกษุผู้มั่นคงในศีล เมื่อได้เจอเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ ยังทนไม่ได้ ต้องสึกหาลาเพศมาอยู่กับเนื้อคู่ของตนจนได้ เหตุที่เนื้อคู่ลำดับต้นมาเกิดในชาติภพเดียวกัน แต่กลับไม่สมกันนั้น มีเหตุเดียว คือ กรรมพลัดพรากได้มาส่งผลเป็นวิบากแก่ทั้งคู่อย่างร้ายแรง หากกรรมนั้นใกล้จะหมดผลเขาทั้งสองก็อาจได้เป็นคู่ครองกันในชาตินั้น แต่หากกรรมนั้นยังรุนแรงอยู่ทั้งสองก็ต้องทนทุกข์ทรมานชดใช้กรรมนั้นให้หมด แล้วจึงจะได้มีวาสนาอยู่ร่วมกันในชาติต่อ ๆ ไป





เหตุที่อกหักผิดหวังในความรัก

นอกจากการผิดหวังจากเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ ซึ่งเกิดจากกรรมพลัดพรากแล้ว บางครั้งคนเราก็อาจต้องผิดหวังในความรัก โดยมีเหตุมาจากกรรมทั้งสิ้น คืออยู่กับคู่ครองไม่มีความสุข ทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำหรือมีปัญหาให้ทุกข์ใจตลอด เหตุที่เป็นดังนี้ แสดงว่าคู่ครองนั้นไม่ใช่เนื้อคู่ลำดับที่ ๑-๕ เนื่องจากกรรมจากการเป็นคนไม่ดี ไม่มีศีลธรรมส่งผลให้ไม่ได้พบเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองไม่ใช่เนื้อคู่กัน แต่ทั้งคู่เป็นศัตรูคู่อาฆาต ได้เคยผูกใจเจ็บกันมา ชาตินี้จึงต้องมาแก้แค้นกันเอง และแรงอาฆาตได้ผลักดันให้ทั้งสองมาอยู่ร่วมกัน และแก้แค้นกันเองตามแรงอาฆาตนั้น หรือบางคนรักเขาข้างเดียว อกหักบ่อยครั้ง โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจด้วยเลย เหตุนี้เกิดขึ้นเนื่องจากอดีตชาติเคยอาฆาตเขาไว้ แต่เขาไม่ได้อาฆาตตอบและไม่ได้ถือโกรธด้วย ชาตินี้จึงต้องทนทุกข์ทรมานเพราะเขาอยู่เพียงฝ่ายเดียว อย่างนี้ไม่ได้เป็นเนื้อคู่ เป็นเพียงคู่กรรมเท่านั้น



ทำอย่างไรจึงจะได้อยู่ร่วมกัน

เมื่อความรักหวานชื่น คู่ครองทั้งหลายย่อมต้องอยากเกิดมาเป็นเนื้อคู่กันอีก ซึ่งผลกรรมก็ได้จัดสรรการเกิดมาเป็นคู่ครองกันอีกตามที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่นอกจากการรอให้กรรมเป็นตัวจัดสรรแล้ว เรายังสามารถเลือกที่จะได้พบและอยู่เป็นคู่ครองกับเนื้อคู่ของเราได้ในอนาคต โดยการอธิษฐาน แต่แม้จะมีอธิษฐานร่วมกัน สุดท้ายการได้อยู่ร่วมกันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมอยู่ดี การอธิษฐานนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษคือ ในด้านประโยชน์ ทำให้เนื้อคู่ทั้งสองมีโอกาสกลับมาเป็นคู่ครองกันในชาติต่อ ๆไป ได้ง่าย แต่ในแง่ของโทษ บางครั้งก็ทำให้การใช้ชีวิตไม่เป็นปกติสุข เช่น หากเนื้อคู่ที่อธิษฐานกันไว้ไม่ได้มาเกิด หรือมาเ กิดแล้วแต่ยังไม่ได้พบกัน ฝ่ายที่รออยู่จะไม่สามารถมีคู่ได้ จิตใจไม่รักใคร หรือแม้จะได้พบเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ แต่ก็มีเหตุให้ไม่สมหวังทุกครั้งไป เนื่องจากแรงอธิษฐานนั้นฉุดรั้งไว้ หรือบางครั้งจิตใจมีสังหรณ์อยู่เสมอว่ารอคอยใครอยู่ ทั้งที่ไม่รู้ว่ารอคอยใคร



การแก้ปัญหาเรื่องอธิษฐาน

หากแน่ใจว่าเนื้อคู่ที่อธิษฐานกันไว้คงไม่ได้พบเจอกันแน่แล้ว หรืออยากจะปล่อยวางเพื่อมีโอกาสได้ตัดสินใจกับเนื้อคู่ลำดับอื่น สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงอธิษฐานขออนุญาตเนื้อคู่ว่า ขอละคำอธิษฐานนั้น ขอให้ชีวิตได้พบเนื้อคู่ที่สมกัน และได้ใช้ชีวิตคู่อย่างปกติและมีความสุข







คู่ธรรม

คือคู่ที่ตั้งจิตอธิษฐาน ที่จะปฏิบัติธรรมร่วมกันเกื้อกูลแก่กัน

ซึ่งบางชาติอาจเกิดมาเป็นเพื่อนกัน บางชาติอาจเป็นพี่น้องกันบางชาติอาจเป็นพ่อแม่ลูกกัน

บางชาติอาจเป็นอาจารย์กับศิษย์บางชาติอาจเป็นสามีภรรยากันถ้าเป็นสามีภรรยากันก็จะมีความเป็น

กันเองเสมือนเพื่อนมากกว่าจะเป็นสามีภรรยาทั่วไป

และบางคู่แต่งงานกันแล้วก็ไม่เสพกามกันเลยอยู่กันเป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมกันไป

ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่สะอาดคู่ประเภทนี้จะสนิทใจและไว้วางใจซึ่งกันและกันมาก

ไม่ทำร้ายทำลายหรือเรียกร้องอะไรจากกันมีแต่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน



คู่บารมี

คือคู่ที่อธิษฐานจะบำเพ็ญบารมีร่วมกันเผชิญสุขเผชิญทุกข์ด้วยกัน

คอยประคับประคองปรองดองกันให้ถึงเป้าหมายสูงสุดอันแสนไกล

คู่บารมีจะมีลักษณะเป็นเพื่อนแท้ที่ยอมตายให้แก่กันและกันได้มีความเสียสละสูง มีความถาวร

จะพบกันเกือบทุกชาติไป บางชาติก็อาจได้อยู่ด้วยกันบางชาติก็อาจมีปัญหาไม่ได้อยู่ด้วยกันตามแต่กรรม

แต่ก็จะเกื้อกูลกันทุกชาติไปคู่ประเภทนี้จะมีความผูกพันกันล้ำลึกเข้าใจกันได้ดี

ความรักของคู่ประเภทนี้จะสะอาด จริงใจ เชื่อถือได้แต่ก็มีปัญหาเล็กๆน้อยๆบ้าง

ตามประสาคนที่จิตยังไม่บริสุทธิ์

ด้วยพระคุณแห่งการสื่อความหมายเพื่อความเข้าใจที่ดีงามแห่งการดำรง





--ขอให้ทุกคน สุขใจกับการรับความรัก และสุขใจกับการให้ความรัก แม้ว่าจะไม่ได้อะไรตอบแทนก็ตาม รักเหมือนที่พ่อแม่รักเรา โดยไม่ได้หวังอะไรจากเราเลยนอกจาก ให้เราเป็นคนดี เท่านั้นเอง.....

วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560

วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2560

เสียจริต……..จิตตกอย่างแรง

วันนี้คอตกอาการห่อเหี่ยวในจิตใจมาก
แบบที่เรียกว่า เสียself  ประมาณนั้นแหละ
นั่งลุ้นกับงานตั้งแต่เช้า ปวดหัว ปวดคอ ปวดไหล่

แถมมาปวดใจกับคนรัก ที่อ่าน line 😂
แล้วไม่ยอมตอบอะไรกลับมาบ้าง😂
บอกตรงๆ เป็นห่วงความรู้สึกส่วนหนึ่งไม่รู้เป็นไรรึเปล่า🐺🐺🐺
กลัวว่าการ Line ไปของฉันไปสร้างความรำคาญให้ส่วนหนึ่ง🐱🐱🐱


เหตุเพราะ อยาก Clear งานให้จบจะได้มีเวลาให้กัน
เวลาที่จะหยุดนิ่ง เพื่อรอเค้าคนนั้นของใจ

โอ้ว ประเทศชาติ ของที่มันสั่งทำมาโดยเฉพาะ นำมาโดยเฉพาะ
ทุกอย่างมันเหมาะเจาะลงตัวแท้ งานก็เครียด ความรักก็น่าปวดหัว

เครียดลงกระเพาะเลยทีเดียว 🏴🏳🏴
เครียดจ๊ะ😂


อยากบอกคุณคนนั้นของใจ
ว่าฉันไม่เคยที่จะใส่ใจจะรายงานใคร
ไปไหน ทำอะไร มากมายขนาดนี้
คำว่า "เมื่อวานเงียบเหมือนกันนะ" มันทำให้ฉันเสียจริตอย่างแรง

พยายามทำแล้วนะ 🤔🤔🤔
แต่คงทำได้แค่นี้ ทำต่อไปจากนี้ คงไม่ไหว.....จิตตก
เพราะนั้นมันไม่ใช่ตัวตนฉัน🤔🤔🤔


เอาเป็นว่า ถ้าคุณอยากรู้ ต้องการรู้ ก็ถามมาแล้วกัน คนอย่างฉันยินดีที่จะตอบคำถามคุณ

ครึ่งทางนะ 😘
เว้นว่าง--- ระยะห่าง--- ระหว่างเราไว้-- จะได้ไม่ต้องมีใครเจ็บ📣
---- ใครเสียใจ----เพราะความรักอีก---📣

วางตัวอย่างไรให้ชายหนุ่มคิดถึงคุณมากขึ้น

ผู้หญิงแม้จะเจอชายหนุ่มที่ถูกใจแค่ไหน ก็ต้องไว้ท่าทีเสียบ้าง เรียกว่าต้องรู้จักวางตัว อย่าไปยอมเขาเสียง่าย ๆ ผู้ชายนั้นชอบนักเรื่องการแข่งขัน อะไรที่ได้มาครอบครองง่าย ๆ ก็มักจะไม่ค่อยเห็นค่า แต่อะไรที่ต้องใช้ความพยายามให้ได้มานี่สิ เป็นเรื่องท้าทายพวกเขานักแหละ แล้วผู้หญิงควรจะวางตัวอย่างไรให้ดูดีและน่าสนใจในสายตาผู้ชาย ตั้งแต่แรกพบจนถึงแต่งงาน เอ้า...แล้วต้องวางตัวอย่างไรบ้างล่ะ อยากรู้ไปดูกันเลย


1. เว้นระยะห่าง

พยายามอย่าเข้าไปหาเขาอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าเราลองไม่คุยกับเขาสักพักหนึ่ง แล้วไปทำเรื่องส่วนตัวของเราเองบ้าง เขาต้องรู้สึกแน่ว่าเราหายไป ถึงเราจะคิดถึงเขา ก็ต้องปล่อยให้เขาเข้ามาหาก่อน แล้วเราจะดูมีความสำคัญมากขึ้น ก็เพราะเขาต้องการมาเจอเราจริงๆ ดีกว่าไปหาแล้วเขาไม่อยากเจอ


2. อย่าตอบข้อความเขาทันที

หากสาวคนไหนเป็นประเภทติดโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา และมักจะตอบเร็วเสมอ มันจะทำให้ดูเหมือนเราตั้งตารอข้อความจากเขามากเกินไป ใจเย็นๆ รอเวลาสักนิดนึงก่อนจะตอบกลับ ถ้ามันไม่จำเป็นมากนัก เชื่อสิ เขาลุ้นรอคำตอบเราอยู่แน่ๆ



3. ทำให้เขาโทรหา

 วิธีหนึ่งที่จะทำให้เขาคิดถึงเราก็คือ ให้เขาโทรหาเรานั่นแหละ ปกติอาจเป็นเราที่คอยโทรหาเขาตลอดใช่ไหมล่ะ? บางทีเราอาจรู้สึกว่าส่วนมากจะเป็นเราที่คอยโทรหาหรือส่งข้อความไปให้ ไม่ต้องทำแล้ว ปล่อยให้เขาโทรมา แล้วเขาจะคิดถึงเราเอง


4. วางสายก่อน

เคยคุยโทรศัพท์นาน ๆ จนเกิดช่วงเวลาเดดแอร์บ้างมั๊ยล่ะ ก่อนจะถึงช่วงเวลานั้นชิงวางสายไปเสียก่อน เช่น อาจบอกว่าต้องรีบไปทำธุระ เป็นต้น เชื่อเถอะว่าวิธีนี้จะทำให้เขาอยากรู้จักคุณมากขึ้น และแทบจะอดใจไม่ไหวเลยล่ะที่จะโทรถามคุณว่า เสร็จธุระหรือยัง

 5. ทำเซอร์ไพร์ส

ผู้หญิงส่วนใหญ่มักชอบการถูกเซอร์ไพร์สจากคนรัก จะดีกว่ามั๊ยหากคุณลงมือทำเซอร์ไพร์สเขาบ้าง แต่ต้องแน่ใจว่าเป็นเรื่องที่เขาชอบจริง ๆ รับรองว่างานนี้หนุ่ม ๆ คงฝันถึงคุณไปอีกนาน พร้อมจดจำโมเม้นท์ดี ๆ ที่คุณทำเพื่อเขา แบบนี้ไม่คิดถึงยังไงไหวล่ะเนอะ


6. ทำให้เขายิ้มได้เมื่ออยู่ด้วยกัน

ในช่วงเวลาที่ได้เจอกันอย่ามัวแต่เก๊กหน้าขรึมแบบเข้าถึงยาก แต่ควรทำตัวตามสบายและเป็นตัวของตัวเอง ที่สำคัญไม่ต้องห่วงสวยไปทุกวินาทีหรอก รู้อะไรมั๊ย ความเป็นธรรมชาติและรอยยิ้มอย่างจริงใจน่ะ มัดใจผู้ชายได้ไม่น้อย โดยเฉพาะหากคุณเป็นผู้หญิงที่มีอารมณ์ขันด้วยแล้วละก็ ได้ใจเขาไปแบบเต็ม ๆ เลยล่ะ



7. อย่าอยู่ก่อนแต่ง รออีกสักนิดจนถึงเวลาที่ถูกที่ควร ระหว่างนั้นฝ่ายชายก็จะไม่รู้สึกว่าคุณเป็น "ของตาย" แต่เป็นสิ่งที่ต้องถนอมและอาจสูญเสียคุณไปได้ในทุกนาที



8. เป็นทั้งฝ่ายรุกและฝ่ายรับ

แม้จะมีทีท่าหวงเนื้อหวงตัวหรือไม่ยอมเขาบ้าง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้เขารู้ว่าคุณน่ะคุยกับเขาแค่คนเดียว ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะสับสนและคิดว่าคุณไม่สนใจจนถอยห่างก็ได้ ดังนั้นถ้าเห็นว่าเขาเงียบ ๆ ไปก็ลองส่งข้อความไปเซย์กู๊ดไนท์บ้างก็ได้ แต่อย่าบ่อยนัก เพราะบางทีผู้ชายอาจจะแค่หยั่งเชิงเราเท่านั้น


9. ไม่ต้องตอบรับทุกเดท

ใช่ว่าเขาชวนไปไหนแล้วจะตอบตกลงไปกับเขาทุกครั้ง เว้นระยะให้เขาคิดถึงคุณบ้าง บอกว่าติดธุระหรือไม่ว่างบ้าง แม้ว่าคุณเองอาจจะว่างตลอดก็เถอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเขาชอบนัดกับคุณแบบให้ตอบตกลงทันทีละก็ ควรปฏิเสธไปบ้าง เพราะการตอบรับทุกครั้งที่เขาชวนอาจทำให้เสน่ห์และความน่าสนใจในตัวคุณลดลงไป

ผู้หญิงเองก็เป็นฝ่ายเดินเกม และเป็นฝ่ายเลือกอยู่ในที เพียงรู้จักวางตัว รู้กาลเทศะที่เหมาะสม เท่านี้ก็ดูมีเสน่ห์น่าค้นหาสำหรับคุณผู้ชาย แล้วอย่าลืมนำทริกที่แนะนำไปปรับใช้กันนะคะ

30 สิ่งที่คุณควรเริ่มทำให้กับตัวเองได้แล้วตั้งแต่วันนี้

1. เริ่มใช้เวลากับคนที่ใช่

การอยู่กับคนที่ใช่ คนที่คุณควรแคร์ และคนที่แคร์คุณคือช่องเวลาที่สุดจะมีค่าของชีวิตคุณ พวกเขาคือกลุ่มคนที่ทำให้คุณรู้สึกถึงคุณค่าของการมีคนสำคัญอยู่ข้างๆ พวกเขามอบความรักและมิตรภาพที่แท้จริงให้กับคุณ มองหาพวกเขาให้เจอว่าคือใคร พวกเขาคือคนที่อยู่กับคนในยามยากลำบาก เขาคือคนที่ยอมรับในสิ่งที่คุณเป็นเช่นเดียวกับสิ่งที่คุณอยากจะเป็นโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ หาคนเหล่านั้นให้เจอครับ

2. เริ่มเผชิญหน้ากับปัญหาของคุณ

ปัญหาต่างๆ ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกความเป็นตัวคุณ แต่วิธีการที่คุณจัดการกับปัญหาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมันคือสิ่งที่สะท้อนความเป็นตัวตนของคุณต่างหาก เช่นเดียวกัน ปัญหาจะไม่มีวันหายไปถ้าคุณไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง เริ่มลงมือแก้ปัญหา แม้ว่ามันจะทีละเล็กทีละน้อย แต่มันก็คือก้าวที่ทำให้คุณเดินไปข้างหน้า ไม่ใช่นิ่งๆ อีกต่อไป

3. เริ่มซื่อสัตย์กับตัวเองในทุกๆ เรื่อง

คุณรู้ตัวเองอยู่แล้วว่าอะไรดีไม่ดี และอะไรที่ต้องถูกปรับเปลี่ยนแต่เพราะที่ผ่านมาคุณไม่ซื่อสัตย์กับตัวเองเลยไม่ได้ลงมือทำอะไร มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่คุณต้องเริ่มซื่อสัตย์กับตัวเองว่าคุณคือใคร ต้องการอะไร และต้องทำอะไร คนที่จะรับผิดชอบตัวคุณก็คือตัวคุณเอง และคุณคือคนที่จะออกแบบตัวคุณเอง ออกแบบมันอย่างซื่อสัตย์ที่สุด จริงใจกับมันที่สุด เพราะนั่นคือสิ่งที่ตัวคุณคาดหวังจะได้จากคุณเช่นกัน

4. เริ่มให้ความสำคัญกับการสร้างความสุขให้ตัวเอง

ความต้องการของคุณมันเป็นสิ่งสำคัญเสมอเช่นเดียวกับคุณค่าของตัวคุณ ถ้าคุณยังไม่ให้คุณค่ากับตัวคุณเองแล้วใครจะมาให้แทนได้อีก? จงจำไว้ว่าคุณสามารถหาทางให้ความสุขกับตัวคุณเองในขณะที่ยังสามารถแคร์คนรอบข้างคุณได้ ไม่ใช่เอาแต่แคร์คนอื่นจนไม่ให้ความสุขตัวเอง

5. เริ่มเป็นตัวของคุณเอง อย่างจริงใจ และภูมิใจ

อะไรจะดีไปกว่าการที่คุณรู้สึกดีกับตัวคุณเอง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะไหน มีพื้นฐานอย่างไร คุณก็มีดีมากพอที่จะยินดีกับตัวคุณเอง (อย่างน้อยคุณก็ยังมีชีวิตอยู่แหละนา) อย่าไปพยายามเป็นคนอื่นหรือคนที่คุณไม่ได้เป็นเพราะนั่นคือการดูถูกตัวคุณเองอย่างไม่จำเป็นเลย จงเป็นสิ่งที่ตัวคุณเองเป็น ในแบบที่ดีที่สุด แบบที่คุณภูมิใจกับมันที่สุด

6. เริ่มสังเกตและใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน

การอยู่กับปัจจุบันคือเคล็ดลับการมีความสุข ถ้าคุณมัวแต่คิดเรื่องอดีต คุณก็จะไม่ไปไหน ถ้าคุณกังวลแต่เรื่องอนาคต คุณก็จะลืมมองปัจจุบันไป อย่าลืมว่าทุกอย่างเริ่มต้นจาก “วันนี้” ไม่ใช่ “เมื่อวาน” หรือ “พรุ่งนี้”

7. เริ่มให้คุณค่ากับความผิดพลาดที่สอนคุณ

ทุกความผิดพลาดคือบทเรียนที่จะทำให้คุณโตขึ้น มันจึงควรค่าที่จะถูกมองและให้ความสำคัญมากกว่าจะมองข้ามมันไป ความผิดพลาดมันเหมือนขั้นตอนไปสู่ความสำเร็จ ให้ความสำคัญและเรียนรู้มันไปกับย่างก้าวของชีวิตคุณ เพื่อให้คุณไปสู่วันใหม่ที่ดีกว่าเดิมสิครับ

8. เริ่มสุภาพกับตัวเอง

จะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณเอาแต่ด่าตัวเองด้วยคำหยาบ  เราต่างรู้ดีกันว่าการใช้คำหยาบมันมีแต่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่เท่านั้น ฉะนั้นแล้ว คุณไม่ควรจะทำร้ายคนที่คุณควรรักมากที่สุด (ก็ตัวคุณเองนั่นแหละ) ด้วยคำพูดแบบนั้นเลย

9. เริ่มมีความสุขกับสิ่งที่คุณมี

อย่าเพิ่งไปคิดถึงสิ่งที่คุณยังไม่มี หรือคาดคิดว่าจะมี เพราะมันยังมาไม่ถึง และนั่นกลายเป็นปัญหาอย่างมากของคนหลายคนคือคิดว่าจะมีความสุขได้ต่อเมื่อต้องมีอย่างนั้นมีอย่างนี้ คุณต้องไม่ลืมว่าของที่คุณมีอยู่ทุกวันนี้ก็เพียงพอจะสร้างความสุขให้คุณได้อยู่แล้ว (และเอาจริงๆ คุณก็เคยมีความสุขกับมันมาแล้ว) ยิ้มให้กับมันหน่อยสิครับ

10. เริ่มสร้างความสุขของคุณเอง

คนบางคนมักไปรอมีความสุขกับความสุขของคนอื่น และยิ่งถ้าคุณรอ มันก็ยิ่งเหมือนเอาชีวิตของคุณไปฝากไว้กับคนอื่นซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะสำเร็จเมื่อไร แล้วทำไมคุณไม่สร้างความสุขของตัวคุณเองด้วยตัวคุณเองล่ะ? หาความสุขในแบบของคุณเองที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเองเสียดีกว่า ความสุขนั้นมักจะปรากฏเมื่อคุณพยายามจะค้นหามันและเอาจริงๆ คุณก็จะเจอมันในชีวิตของคุณอยู่แล้วล่ะ

11. เริ่มให้โอกาสกับไอเดียหรือความฝันของคุณ

ไอเดียของคุณอาจจะไม่ใช่ไอเดียใหม่ ความฝันของคุณอาจจะซ้ำกับคนอื่นบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีโอกาสได้ทำให้เป็นจริง ไอเดียของคุณควรค่าจะได้ทดลอง ได้ทดสอบ ความฝันของคุณควรค่าจะได้ตามหา ต่อให้มันไม่เวิร์คก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยก็ให้มันได้มี “ชีวิต” กับเขาบ้างเสียดีกว่าให้มันไม่ได้เกิดขึ้นเลยสักนิด

12. เริ่มเชื่อเสียทีว่าคุณพร้อมสำหรับก้าวต่อไป

บอกตัวเองได้เลยว่าคุณพร้อมอยู่แล้ว คุณมีทุกอย่างที่พร้อมจะทำให้คุณก้าวไปเพียงแต่ก้าวนั้นอาจจะสั้นหรือจะยาวแค่นั้น ถ้าโอกาสมาถึงคุณ คุณก็ควรจะคว้ามันไว้ (เหอะ) เพราะคุณมีดีพอจะคว้าโอกาสไว้แล้ว

13. เริ่มมีความสัมพันธ์ใหม่ด้วยเหตุผลที่ดีพอ

คนรอบข้างคุณคืออีกด้านหนึ่งของการแสดงว่าคุณเป็นคนยังไง ความสัมพันธ์นี้ไม่ใช่แค่คู่รักอย่างเดียว แต่หมายถึงเพื่อนๆ และคนสำคัญรอบตัวคุณด้วย กลุ่มเพื่อนคือสัญลักษณ์ที่บอกว่าคุณเป็นคนยังไง ฉะนั้นแล้วพิจารณาพวกเขาให้ดีโดยเฉพาะสิ่งที่พวกเขากระทำ เพราะนั่นคือสิ่งที่สะท้อนตัวตนของพวกเขานั่นเอง

14. เริ่มให้โอกาสกับคนที่คุณรู้จักใหม่ๆ

ฟังอาจจะดูแปลกๆ แต่คนที่คุณเพิ่งรู้จักใหม่อาจจะกลายเป็นเพื่อนสนิทที่ดีกว่าเพื่อนคนก่อนของคุณก็ได้ คุณต้องกล้าที่จะให้พวกเขาได้เข้ามาในชีวิตของคุณ ค้นหาว่าเขาเข้ากับคุณได้ดีแค่ไหน จริงอยู่ว่าการรู้จักกับคนใหม่ๆ อาจจะเป็นเรื่องน่ากังวลอยู่บ้าง แต่มันก็อาจจะทำให้คุณเจอคนที่ “ใช่” ได้เช่นกัน

15. เริ่มแข่งกับตัวเองแบบวันก่อนๆ

มันคงเป็นเรื่องไม่ดีแน่ถ้าคุณจะเป็นแบบเดิมตลอดไป คุณต้องเริ่มมองหาว่าคุณจะดีขึ้นจากเดิมได้อย่างไร อะไรคือสิ่งที่คุณจะได้ให้ได้มากกว่าเดิม ดีกว่าเดิม อย่าเพิ่งไปแข่งกับคนอื่น (และเอาจริงๆ คือไม่ต้องไปแข่งกับคนอื่นหรอกครับ) แต่โฟกัสที่จะแข่งกับตัวเอง ให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ

16. เริ่มเชียร์คนอื่น

การร่วมเชียร์และลุ้นไปกับคนอื่นคือหนึ่งในสิ่งที่ทำให้คุณเห็นคุณค่าบางอย่างนอกเหนือจากของตัวเอง คุณต้องกล้าที่จะบอกว่าคุณชื่นชมคนอื่นเรื่องไหน เริ่มชื่นชมในสิ่งที่คนอื่นเป็นและร่วมเป็นกำลังใจให้กับพวกเขา ยินดีไปกับเขา มันคือก้าวสำคัญที่ทำให้คุณได้เห็นความงามอื่นๆ ที่มีอยู่มากมายรอบตัวคุณ

17. เริ่มมองหาความหวังแม้ในยามยาก

คนเราต้องเจอปัญหาและหลายๆ ครั้งทำเอาเราทรุดจนแทบไม่อยากลุกขึ้นมา อย่าเพิ่งไปยอมแพ้มันแต่มองหาความหวังที่แม้จะน้อยนิดแต่ก็ดีเสียกว่าไม่มีอะไรเลย แม้แสงสว่างจะมีน้อยนิดในความมืดแต่นั่นก็ทำให้มันไม่มืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไร อย่าลืมบอกตัวเองว่าทุกครั้งที่ยากลำบากจะทำให้คุณแกร่งขึ้น ความหวังนี้จะทำให้คุณไปถึงสิ่งที่ดีกว่าในวันข้างหน้าสักวัน

18. เริ่มให้อภัยตัวคุณเองและคนอื่นๆ

การถือโทษโกรธอาฆาตจะนำไปสู่อะไรได้นอกจากพันธนาการที่ทำให้เราจมดิ่งอยู่กับอารมณ์และความเจ็บปวด ปลดปล่อยมันออกด้วยการบอกให้อภัยโดยเฉพาะกับตัวคุณเองนั่นแหละ แล้วเผื่อแผ่ไปยังคนอื่นๆ ด้วย การให้อภัยไม่ใช่แปลว่าคุณลืมเรื่องที่เกิดขึ้นหรือเหมือนมันไม่เคยเกิดอะไรขึ้น แต่มันคือการที่คุณยอมรับและปล่อยให้มันเป็นอดีตแทนที่จะให้ตามมาหลอนในปัจจุบัน

19. เริ่มช่วยเหลือคนรอบข้างคุณ

ยิ่งคุณช่วยคนอื่นมากเท่าไร คนอื่นจะช่วยคุณกลับมากขึ้น (ในอนาคต) ความรักและน้ำใจเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราชื่นใจกับการมีชีวิตและคุณไม่มีทางได้มันมาหากคุณยังไม่เริ่มจะมอบให้คนอื่น

20. เริ่มฟังเสียงลึกๆ ของตัวคุณเอง

หลายๆ ครั้งคุณต้องกล้าฟังเสียงลึกๆ ของตัวคุณเอง เพราะนั่นคือความรู้สึกที่แท้จริงของคุณ ให้โอกาสมัน ซื่อสัตย์กับมัน และกล้าให้มันเป็นเสียงของคุณในวันนี้

21. เริ่มใส่ใจกับความเครียดของคุณและหยุดพักเสียบ้าง

การให้โอกาสตัวคุณเองได้หยุดพัก ได้ตั้งสติ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง การพยายามเค้นตัวเองมากเกินไปก็จะทำร้ายตัวคุณเองแทนที่จะผลักดันคุณ ถ้าคุณรู้สึกว่ามันตึงเกินไป มันเข้มเกินไป ก็พักเสียงบ้างดีกว่า

22. เริ่มใส่ใจกับความงามเล็กๆ น้อย

แทนที่จะรออะไรยิ่งใหญ่มาสร้างความประทับใจ ลองมองอะไรที่งดงามรอบตัวคุณที่แม้จะไม่ใช่อะไรที่ใหญ่โตแต่มันก็มีคุณค่า รอยยิ้มจากคนรอบข้าง น้ำใจของคนที่ผ่านไปผ่านมา ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มันทำให้คุณรู้สึกว่าโลกนี้ยังมีอะไรดีๆ อีกเยอะให้คุณค้นหา ความสุขมันอยู่รอบตัวคุณโดยที่คุณไม่ต้องทนรออะไรใหม่ๆ เสมอไป และบางทีมันก็ทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนไปได้ทันทีเลยด้วยซ้ำ

23. เริ่มก้าวไปสู่เป้าหมายที่คุณวางไว้ในทุกๆ วัน

อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง คุณรู้ดีว่าเป้าหมายของคุณคืออะไรและคุณจะไปไม่ถึงถ้าคุณไม่ก้าวไปหามัน วางแผนให้ดีและลงมือทำในทุกๆ วัน จะเล็กจะน้อยก็ให้มันขับเคลื่อนไป ฉะนั้นเริ่มทำอะไรเสียแต่วันนี้ แล้ววันหนึ่งคุณก็จะไปถึงเป้าหมายได้แน่นอน

24. เริ่มยอมรับสิ่งต่างๆ แม้ว่ามันจะไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม

จำไว้ว่า “สมบูรณ์แบบ” เป็นศัตรูกับ “ดี” เพราะมันทำให้หลายๆ ครั้งคุณไม่พอใจกับสิ่งที่ดีและมีอยู่แล้ว  จริงอยู่ว่าคุณอาจจะมีความทะเยอทะยานและภาพฝันที่อยากให้เป็น แต่ในหลายๆ ครั้งคุณก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่ได้มาแม้ว่ามันจะไม่ได้เพอร์เฟคแต่มันก็ “ดี” อยู่แหละ และแม้ผลลัพธ์อาจจะไม่ได้คะแนนเต็ม 100 แต่คุณค่าของมันอาจจะไม่ใช่แค่ผลลัพธ์แต่ยังมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทางอีกมากมายด้วย

25. เริ่มเปิดเผยกับความรู้สึกที่แท้จริงของคุณ

ถ้าคุณเจ็บปวด ก็บอกว่าคุณเจ็บปวด มันไม่มีใครสร้างอนุเสาวรีย์ให้คุณที่มัวแต่เก็บความรู้สึกเอาไว้หรอก ในทางตรงกันข้าม การเผยความรู้สึกของคุณออกมาจะทำให้คนรอบข้างของคุณได้เข้าใจตัวคุณมากขึ้น และทำให้คุณได้หาทางอยู่ร่วมกับคนอื่นได้มากขึ้นแทนที่จะต้องพยายามอดทนและฝืนแบกความทุกข์เอาไว้

26. เริ่มรับผิดชอบกับชีวิตตัวเอง

อย่าเอาชีวิตคุณไปฝากไว้กับคนอื่น คุณคือเจ้าของชีวิตคุณเอง เริ่มให้ความสนใจ ให้ความสำคัญกับมันเพราะคุณคือคนที่จะต้องอยู่กับมันไปทั้งชีวิต (และเป็นคนสุดท้ายด้วย) รับผิดชอบในตัวเองคือสิ่งสำคัญที่คุณต้องทำ อย่าโยนความรับผิดชอบให้คนอื่นเพราะเขาไม่ได้มานั่งรับผิดชอบอะไรกับชีวิตของคุณหรอก มีแต่คุณเองเท่านั้นที่จะกำหนดว่าชีวิตของคุณจะเป็นอย่างไรต่อไป

27. เริ่มจะจริงจังกับความสัมพันธ์ของคุณ

การจริงจังกับความสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างคุณค่าให้กับชีวิตคุณเอง เผชิญหน้ากับคู่ของคุณแล้วบอกเขาว่าเขาสำคัญอย่างไรกับคุณ คุณไม่สามารถเป็นทุกๆ อย่างให้กับทุกๆ คน แต่คุณสามารถเป็นทุกๆ อย่างให้กับคน “บางคน” ได้ และคุณต้องเลือก (เสียที) ว่าพวกเขาคือใคร

28. เริ่มสนใจกับสิ่งที่คุณควบคุมได้

คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ แต่อย่างน้อยคุณก็มีสิ่งที่คุณสามารถควบคุมได้ และนั่นคือสิ่งที่คุณควรเอาสติและสมาธิมาจดจ่อกับมัน อย่าไปเสียเวลากับสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้แต่ใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดกับสิ่งที่คุณสามารถ “ทำได้”

29. เริ่มทัศนคติในเรื่องความเป็นไปได้และการคิดบวก

บอกตัวเองว่า “มันเป็นไปได้” คือพื้นฐานที่สำคัญของการทำให้คุณกล้าจะก้าวเดินต่อไป กล้าจะรับโอกาสใหม่ๆ การคิดบวกคืออาวุธที่จะเอาชนะทัศนคติแง่ลบที่บั่นทอนชีวิตและความรู้สึกของคุณ ลองพูดคุยกับตัวคุณเอง เมื่อไรที่คุณรู้สึกแง่ลบขึ้นมา เปลี่ยนมันเป็นการคิดบวก ลงมือทำในสิ่งที่คุณเชื่อ ลงมือในสิ่งที่คุณต้องการให้มันเกิดขึ้น ทุกอย่างมันมีสองด้านอยู่แล้ว มันอยู่ที่ว่าคุณจะเลือกสนใจกับฝั่งไหนมากกว่ากัน

30. เริ่มสังเกตว่าคุณ “สมบูรณ์ดี” แค่ไหนแล้วตอนนี้

คุณดีแค่ไหนแล้วที่มีข้าวกิน คุณดีแค่ไหนแล้วที่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยน คุณดีแค่ไหนแล้วที่มีน้ำให้อาบ มีบ้านให้อยู่ มีไฟให้ใช้ มียารักษาโรค มีน้ำสะอาดให้ดื่ม ฯลฯ คุณมีความสมบูรณ์มากมายที่คุณอาจจะเคยมองไม่เห็น ลองมองดูดีๆ คุณจะเห็นว่าชีวิตคุณดีแค่ไหนแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560

จริต 6 โมเดล "อริยสัตว์ 4"

เรื่องของจริตทั้ง 6 ริ่มจากจับคู่กับเรื่องของอริยสัตว์ 4 ที่เหลือคือ สูง ต่ำ

"กระทิง" 
ป็นตัวแทนของสัตว์ทิศเหนือ บุคลิกประจำตัว "ใฝ่สำเร็จ" ตรงไปตรงมา ลุย มุ่งมั่น กัดไม่ปล่อย คิดเร็วทำเร็ว ทำก่อนคิด โกรธง่ายหายเร็ว

"หนู" 
เป็นตัวแทนของสัตว์ทิศใต้ บุคลิก "ใฝ่สัมพันธ์" สนองความต้องการของผู้อื่น ประนีประนอม ชอบทำอะไรเป็นหมู่คณะ มีความรัก มีความละเอียดอ่อน เด่นเรื่องสัมพันธภาพ ยืดหยุ่น

"หมี" 
เป็นตัวแทนของสัตว์ทิศตะวันตก บุคลิก "มองลึก" มองเป็นระบบ มีระเบียบขั้นตอน วิเคราะห์เจาะลึก หลักการต้อง
มาก่อน ไม่ประนีประนอม มีเหตุผลรอบคอบ เป็นคนละเอียดถี่ถ้วน เน้นวินัย

"อินทรี
เป็นตัวแทนของสัตว์ทิศตะวันออกบุคลิกคือ "มองกว้าง" มีจินตนาการ มองการณ์ไกล มีตาที่ 3 มีวิสัยทัศน์และสร้างสรรค์ เชื่อมโยงเก่ง มองภาพใหญ่ ชอบความคิดใหม่ ๆ และคิดก่อนทำ เบื่อง่าย


การจัดว่าสัตว์ 4 ประเภทเป็นตัวแทนสัตว์ทิศไหน ทำให้เราจับคู่ได้ง่าย นั่นคือทิศเหนือ-ใต้ "กระทิง vs หนู" คนที่ใฝ่สำเร็จจะอยู่ขั้วตรงข้ามกับคนที่ใฝ่สัมพันธ์

ดังนั้น อีกขั้วหนึ่งของบุคลิกภาพมนุษย์จึงเป็นทิศตะวันตก-ทิศตะวันออก "หมี vs อินทรี" หรือคนที่มองลึกแบบหมี จะเป็นคนละขั้วกับคนที่มองกว้างแบบอินทรี

เชื่อว่า...เริ่มน่าสนใจแล้วใช่ไหมคะ 

ถ้าเป็นตัวเรา ลองคิดแบบไม่โกงตัวเอง 

ว่าเราเป็นคนบุคลิกประเภทไหนกันแน่



เสริมข้อมูลให้อีกนิด สัตว์ทั้ง 4 ประเภท แบ่งให้เป็น "ฐานแห่งการรับรู้" ได้เป็น 3 ฐานด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่ง แบ่งตามแกนสมอง 3 ก้อน ดังนี้

ฐานรับรู้ตัวแรก "ฐานร่างกาย" จับคู่กับ "สมองชั้นใน" เรียกว่าเป็นฐานสัญชาตญาณ
ใช้ตัวแทน
"กระทิง" ธาตุประจำตัวคือ ธาตุไฟ บุคลิกภาพเป็นคนที่มุ่งความสำเร็จเป็นตัวตั้ง เป็นผู้นำที่รักพวกพ้อง ไม่ชอบเห็นคนเสียเปรียบถูกรังแก

จุดอ่อนเป็นคนใจร้อน ต้องการผลเร็ว การทำงานมีข้ามขั้นตอน ทำให้ละเลยรายละเอียด ขาดความเป็นระบบ เก่งในการบุกเบิกเรื่องใหม่-อ่อนในการรักษาเรื่องเก่า มุ่งสู่ความสำเร็จมากไป จึงมองข้ามความรู้สึกผู้คน ดังนั้น คำพูดคำจาจึงทำร้ายคนอื่นได้เสมอ

ฐานตัวที่สอง คือ "สมองชั้นกลาง" 
เป็นธาตุน้ำ ใช้ตัวแทน "หนู" ซึ่งเป็นสัตว์ทิศใต้ บุคลิกจะมุ่งเน้นสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นมาก่อนงาน จับประเด็นไม่เก่ง แต่ใช้ฐานใจไปสัมผัสเรียนรู้เหตุการณ์ได้ดี จุดเด่นของหนู คือชอบรู้รักสามัคคี และมองความรู้สึกเป็นสิ่งมีค่า

จุดอ่อนใช้ฐานใจ ถ้ามากไปก็เป็นจุดอ่อนเพราะเมื่อรับรู้อารมณ์ความรู้สึกคนอื่นจะมีอารมณ์ร่วมโดยง่าย เปิดรับโดยไม่กลั่นกรอง ทำให้เป็นตัวของตัวเองน้อยไปจึงเปรียบได้กับทางสองแพร่ง ใจของหนู ถ้าใหญ่โตกว้างขวาง จะเป็นทะเล แต่ถ้าใจแคบ ก็จะเห็นแก่ตัว

ฐานตัวที่สาม คือ "สมองชั้นนอก" มี 2 ซีกซ้าย-ขวา แบ่งเป็น
"สมองชั้นนอกซีกซ้าย" ใช้ตัวแทน "หมี" ที่ยึดมั่นกับเหตุผลเป็นกฎเกณฑ์หลักจะเห็นว่าหมีเชื่องช้า หวงแหน ชอบอยู่ในอาณาเขตตัวเอง ไม่ชอบเปลี่ยนแปลง ชอบความมีระเบียบ ใช้ชีวิตและทำงานเป็นระบบ มีขั้นตอน ไม่ชอบคนไร้ระเบียบ ชอบอยู่กับงานมากกว่าอยู่กับคน ห้องทำงานของหมีจะเป็นระเบียบเรียบร้อย
จุดอ่อนของหมี ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ทำงานประจำได้ดี เสมอต้นเสมอปลาย งานที่อินทรีเป็นต้นคิด หากลงตัวแล้วมอบหมายให้หมีทำจะดำเนินไปได้ดี ผิดพลาดน้อย เพราะหมีลงรายละเอียดได้ดีกว่า

เคยเขียนไว้เรื่องWorm's Eye View ไว้เมื่อ 07 เมษายน 2558 by Siwaporn Traiphop
บางครั้งเรื่องเล็กน้อยพลิกตัวสะดุ้ง ดาวก็สะเทือน หลายปัญหาแสนเล็กน้อยกลับสร้างปัญหาใหญ่โต เพราะละเลย เพราะชะล่าใจ เพราะคิดว่าการเด็ดดอกไม้ ใยต้องกังวลว่าดาวจะสะเทือน  มองอย่างคนขี้กลัว คนหวาดระแวง มองอย่างเคารพต่อคำว่า ”ปัญหา”

สุดท้าย คือ "สมองชั้นนอกซีกขวา" ธาตุลม ใช้ตัวแทน "อินทรี"

ซึ่งทำรังในที่สูง บินสูง มองกว้างไกล ในเวลาที่คนอื่นสนใจรายละเอียดเฉพาะหน้า อินทรีจะถอยออกมามองภาพกว้าง เมื่อเผชิญเหตุการณ์ อินทรีจะไม่ลงมือกระทำทันที แต่จะเชื่อมโยงเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อต้องการเห็นภาพรวม ชอบต่อจิ๊กซอว์ และเกิดการเรียนรู้แบบผุดบังเกิด
จุดอ่อนของอินทรี พอเข้าใจอะไรแล้วก็จะหมดสนุก จึงเป็นคนเบื่อง่าย ไม่สนใจรายละเอียด

คยเขียนไว้เรื่อง Bird's Eye View  ไว้เมื่อ 07 เมษายน 2558  by Siwaporn Traiphop บางปัญหามองเห็นภาพรวมได้ก็เพราะการมองจากมุมสูงการมองในมิติกว้าง เห็นได้ดีมากกว่าการจับจดมองเป็นจุดๆ เป็นส่วนๆ พร่ำเพ้อถึงความเสียหาย ฟุมฟายถึงองค์ประกอบที่เสียไป ทั้งที่เมื่อพาตัวเองลอยขึ้นเหนือปัญหาแล้วก้มมองลงมาจะพบว่า “เรามีสิ่งที่เหลืออยู่มากกว่าสิ่งที่สูญเสีย………..”

นชีวิตจริง คนเราทุกคนเริ่มต้นจากการเป็นกระทิง หรือเริ่มต้นจากการใช้สัญชาตญาณมาก่อน ต่อมาเมื่อผ่านประสบการณ์ทำงาน ประสบการณ์ชีวิต ทำให้เราถูกหล่อหลอมบุคลิกไปต่าง ๆ นานา และไม่จำเป็นว่าคน 1 คนจะต้องเป็นเพียงแค่กระทิง ป็นแค่หนู เป็นแค่หมี หรือเป็นแค่อินทรี เพราะเราทุกคนล้วนมีส่วนผสมของสัตว์สี่ทิศนี้อยู่ในตัว เพียงแต่เปอร์เซ็นต์บุคลิกประเภทไหนจะโดดเด่นมากกว่ากันในแต่ละช่วงเวลา

by Siwaporn Traiphop



วันจันทร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2560

ืัคนรัก

เคยไหม ที่จู่ ๆ ก็อยากร้องไห้ออกมา
ปล่อยให้น้ำตารินสายอย่างเงียบ ๆ แม้ในท่ามกลางผู้คน

ตอนนี้ ฉันเอง ก็ กำลังเศร้าในแบบอย่าง อย่างนั้นเหมือนกัน
..........

แม้ไม่ได้เศร้าจนร้องไห้ฟูมฟายออกมา เหมือนเมื่อครั้งก่อน
ครั้งที่คุณ เดินหายออกไปจากชีวิตอย่างเงียบเชียบ
โดยไม่ได้ทิ้งไว้ แม้คำ ร่ำลา หรือมีทีท่าว่าจะจากไป
ปล่อยให้ ฉัน จมจ่อมอยู่กับตัวเอง กอดตัวเองไว้-เพียงลำพัง
ไม่รู้เลยว่า การหายไปในครั้งนั้น เพราะอะไรทำให้ คุณ ต้อง ไป


ถึง แม้ ไม่มีคำตอบ ที่ คุณ จะตอบ
หรือ ไม่มีแม้ คำตอบ ที่ ฉันต้องตอบ
ผลลัพธ์ ก็ มีค่าเท่ากัน
..........

แล้วก็อย่างนิสัยแบบ ฉัน ที่ไม่พยายามจะสนใจมัน
แม้คำตอบที่ติดอยู่ในใจอย่างลึก มันก็ยัง . .. . อยากรู้อยู่ดี
แต่จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะต้องมานั่งรื้อฟื้นเรื่องราวเก่า ๆ
ความรู้สึกร้าว ๆ ร้าย ๆ เหล่านั้น ให้มันเจ็บช้ำ ซ้ำ ตรงที่เดิม

ฉันปล่อย

ฉันปล่อยให้ทุกอย่างมันเลือนหายไป ให้มันจบตามฤดูกาล
คล้ายปฏิทินของเดือนนั้น ที่ถูกฉีกขาด .. มันก็ไม่มีอีกแล้ว
..........

ความคิดถึงของฉัน ความรักของฉัน
ทุกอย่างก็ยังเป็นของฉัน ..

แม้มันจะจบลง และแม้คุณจะไม่ต้องการ
หรือแม้แต่คุณ จะ ไม่อยาก เหลียวแลมัน
ทุกอย่างก็ยัง เป็น ของฉัน ..

ที่ทางเดิม ๆ ความคิดเดิม ๆ รอยเท้าเดิม ๆ
ไม่มีใครทำให้มันสูญหายไป แม้แต่คุณ



ฉันเขียนความคิด เอาไว้ตรงนี้ วางไว้ตรงนี้
ในที่ทางของมัน ที่จะอยู่อย่างนี้ ตลอดไปอย่างยาวนาน
ฉันไม่ลบทิ้ง ฉันไม่ขีดทิ้ง และฉันก็จะไม่หนีหายไป
อย่างที่คุณชอบจะทำ


ศิลปะในการใช้ชีวิตที่คุณว่า ..
การเดินหายไปจากชีวิตใครสักคนโดยไม่ให้เขารู้
ฉันว่า ..


แม้ในวันนี้ ฉัน จะไม่ได้ร้องไห้ หรือปล่อยให้น้ำตารินสายอย่างเคย
แต่ในความรู้สึกแล้ว การร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา สะอื้นลึก เจ็บอกยิ่งกว่า

หากวันนี้ คุณเอ่ยปากว่าจะลา .. ฉันก็จะพยามยามทำความเข้าใจ


แม้ ครั้งนี้ ฉันไม่ได้ถูก หนามกุหลาบบาดมือ
แต่ฉัน ก็ กำลังรู้สึกว่า ยางของลั่นทมกำลัง กัดกินใจ ..


ความคิดของคุณ ก็คงเป็นของคุณ
ความคิดของฉันมันก็ เป็นของฉัน
ไม่มีใครห้ามได้ ถ้าคุณจะคิดเอาเองอย่างนั้น
และไม่มีใครห้ามได้ ถ้าฉันจะคิดเหมาเหมือนกัน

คนเรา - คิด ในทางร้าย ง่ายกว่าทางดี


มีประโยชน์อะไรอีกเล่า ถ้าเรามัวแต่มานั่งทิ่มแทง กรีดแขนกัน
บาดแผลที่ได้รับจากคนอื่น ยังเจ็บช้ำ ไม่พออีกใช่ไหม
คุณเข้ามาตรงนี้ได้อย่างไร ฉันไม่รู้ และจะอยู่ตรงนี้อีกไหม ก็ไม่แน่ใจ
แต่อย่างที่อยากให้รู้ และอยากให้เข้าใจ ฉันไม่เคยทำร้ายคุณ

ก่อนคุณจะ คิด ไปไหน-ไหน ได้โปรด ถามฉันสักคำ ก่อน
ได้ไหม ได้โปรดเถอะ ..


ถ้าที่ผ่านมา
ไม่อาจทำให้คุณมั่นใจได้ .. ไม่อาจจะทำให้คุณเชื่อใจได้
บอกคำว่ารักให้ตาย มันก็แค่ คำพูดลอยลม


แม้คุณจะเดินเข้ามาอีกครั้ง หรือจะอยากจากไปอีกสักกี่ครั้ง
พื้นที่ในชีวิตฉัน ส่วนหนึ่งมันก็ คือ คุณ
จะรับไว้ หรือฉีกทิ้ง จะมองมา หรือไม่เลย

รู้ไม่ใช่หรือว่าอย่างไร ฉันก็ตามแต่ใจคุณ เสมอไป


ฉันไม่ได้ถูก หนามกุหลาบบาดมือ
แต่ก็ กำลังรู้สึกว่า ยางของลั่นทมกัดกินใจ