วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

มอบอำนาจกรมที่ดิน โดย อาจารย์หมอที่ดิน

ความเสี่ยงและแนวทางป้องกันเมื่อ "มอบอำนาจ" ให้ทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน 

Oct 17, 2015 | 

โดย คุณวสันต์ กิจบำรุง (หมอที่ดิน) 
https://www.terrabkk.com/news/49526/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%88

อดีตเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน 8 ทุกครั้งที่มีการมอบอำนาจให้ทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน มีความเสี่ยงจะเกิดความเสียหายต่อฝ่ายผู้มอบอำนาจและคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้เสมอ โดยบางกรณีเกิดจากปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของผู้มอบอำนาจ แต่บางกรณีก็เกิดจากความไม่รู้และความไม่รอบคอบของผู้มอบอำนาจและทางฝ่ายคู่สัญญา ซึ่งหลายเรื่องสามารถป้องกันได้หากได้รับคำแนะนำมาก่อน ความเสี่ยงเมื่อมีการ มอบอำนาจ 1.1 ไม่รู้ว่าหนังสือมอบอำนาจนั้นจะใช้การได้หรือไม่ เมื่อผู้ขาย มอบอำนาจให้คนอื่นดำเนินการแทน ผู้ซื้ออาจคิดว่าคงจะดำเนินการได้ จึงชำระค่าที่ดินให้ไปบางส่วนหรือชำระจนหมดก่อนเจ้าพนักงานที่ดินจะจดทะเบียนโอน ส่วนคนขายก็คิด ว่าจะได้เงินแน่ ๆ ในวันโอน เพื่อจะได้เอาเงินไปทำตามแผนที่วางไว้ แต่หารู้ไม่ว่ามีกรณีหนังสือมอบอำนาจใช้ดำเนินการไม่ได้เกิดขึ้นในสำนักงานที่ดินอยู่บ่อย ๆ ทำให้เสียเวลาแก้ไขหรือต้องทำมาใหม่ ซึ่งบางกรณีอาจทำให้ล่าช้านานเป็นวัน ทำความเสียหายต่อคู่สัญญาเพราะจดทะเบียนไม่ได้ตามที่วางแผนไว้ สาเหตุที่ดำเนินการไม่ได้มักเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้ 1) เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับที่ดินไม่ถูกต้อง รายละเอียดเหล่านี้ได้แก่ หมายเลขโฉนด เลขหน้าสำรวจ เลขที่ดิน หมายเลขระวางแผนที่ รวมถึงตำบล อำเภอ จังหวัดที่ที่ดินตั้งอยู่ หรือบางกรณีกรอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวผู้มอบอำนาจซึ่งได้แก่ ชื่อตัว ชื่อสกุล อายุ ชื่อบิดามารดา ไม่ถูกต้อง หรือบางกรณีบัตรประชาชนกับทะเบียนบ้านที่นำมาแสดงมีชื่อไม่ตรงกับหลักฐานทะเบียนที่ดิน เพราะมีการเปลี่ยนชื่อ หรือนามสกุลแล้วไม่ได้นำหลักฐานการเปลี่ยนชื่อมาแสดง แต่ที่ทำให้ยุ่งยากกว่านั้นคือชื่อในบัตรประชาชนหรือทะเบียนบ้านไม่ตรงกับชื่อในหลักฐานทะเบียนที่ดิน ซึ่งได้ทำไว้ถูกต้องตามหลักฐานทะเบียนราษฎร์แล้วเมื่อครั้งได้สิทธิในที่ดินนั้น แต่มีการทำทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชนผิดพลาดในภายหลังเอง ก็ต้องให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนราษฎร์ทำการแก้ไขหรือรับรองการเป็นบุคคลคนเดียวกันก่อน ทำให้การโอนเสียเวลาไปเป็นวันหรือสัปดาห์ได้ หากมีการกรอกรายละเอียดดังกล่าวไม่ถูกต้อง ก็จะต้องนำหนังสือ มอบอำนาจ ไปแก้ไขให้ถูกต้องก่อน และผู้มอบอำนาจต้องเซ็นชื่อกำกับด้วย เหตุที่เจ้าหน้าที่ต้องเข้มงวดก็เพื่อป้องกันความผิดพลาดเป็นการระวังรักษาสิทธิของคู่สัญญา และอีกประการหนึ่ง เมื่อมีกรณีฟ้องศาลว่ามีการจดทะเบียนจากหนังสือมอบอำนาจที่ไม่ถูกต้อง หรือโดยมีการปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจ ฝ่ายโจทก์ก็จะฟ้องเพิกถอนการโอน และอาจกล่าวหาเจ้าหน้าที่ว่าถ้าตรวจให้ดีจะเห็นว่ามีข้อความผิดพลาด ไม่ควรดำเนินการให้ แต่ก็ยังดำเนินการให้ไปอีก ก็จะถือว่าประมาทเลินเล่อต้องรับผิดในส่วนนั้นด้วย ในทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่จึงมักไม่ค่อยผ่อนปรนใด ๆ ต้องให้ไปทำการแก้ไข และให้ผู้มอบอำนาจเซ็นกำกับจุดที่มีการแก้ไขทุกแห่ง 2) เขียนข้อความไม่ชัดเจน กำกวม ตกหล่น ขาดข้อความสำคัญ ทำให้ไม่รู้ว่ามอบให้ทำอะไร เช่น มีบ้านแต่ไม่ได้บอกให้ทำนิติกรรมโดยยกเว้นหรือรวมบ้านด้วยหรือไม่ หรือในกรณี มอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจทำหน้าที่แทนคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย หรือมีกรณีผู้รับมอบอำนาจกระทำในนามของผู้รับมอบอำนาจเอง เช่น คนขายมีธุระมาทำการโอนด้วยตนเองไม่ได้ จึงมอบให้คนซื้อมาดำเนินการแทน แต่ไม่ได้เขียนว่ายินยอมให้ผู้ซื้อกระทำการในฐานะคนซื้อได้ด้วย) แต่ไม่มีข้อความยินยอมให้ผู้รับมอบอำนาจทำหน้าที่แทนคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งหรือให้กระทำในนามตนเองได้ ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งบัญญัติไว้ ก็จะทำให้ผู้รับมอบอำนาจทำตามที่ได้รับ มอบอำนาจ ไม่ได้ 3) ลายเซ็นไม่คล้ายลายเซ็นเดิมในหลักฐานต่าง ๆ ที่เก็บไว้ที่สำนักงานที่ดิน เรื่องลายเซ็นนี้มีความสำคัญมาก เพราะเมื่อมีการมอบอำนาจให้มาดำเนินการแทน ย่อมไม่มีตัวผู้มอบอำนาจมาให้ทำการสอบสวนว่าเป็นผู้มอบอำนาจจริงหรือไม่ จะตรวจสอบได้ก็จากเพียงลายเซ็นเท่านั้น (ในทำนองเดียวกันการตรวจลายเซ็นในเช็ค) การตรวจสอบลายเซ็นจึงต้องทำอย่างเข็มงวด แต่บางครั้งลายเซ็นเดิมที่อยู่ในหลักฐานที่ดินทำไว้นานแล้ว ผู้เซ็นอาจลืมไปแล้วว่าเซ็นไว้อย่างไร หรือบางครั้งทั้ง ๆ รู้ว่าเคยเซ็นอย่างไร แต่เวลาผ่านมานานมากและได้เปลี่ยนลายเซ็นใหม่ไปแล้วทำให้เซ็นแบบเดิมไม่ได้ก็มี เมื่อตรวจสอบแล้วไม่คล้ายกับลายเซ็นเดิมก็ทำให้ดำเนินการตามที่มอบอำนาจไม่ได้ นอกจากนี้บางกรณีในหนังสือมอบอำนาจพิมพ์ลายนิ้วมือคนละข้างกับหลักฐานเดิม (ในงานที่ดินจะให้ใช้การพิมพ์ลายนิ้วมือซ้ายเสมอ) หรือในหลักฐานเดิมเป็นลายเซ็นแต่ในหนังสือมอบอำนาจใช้การพิมพ์นิ้วมือ หรือกลับกันเดิมพิมพ์ลายนิ้วมือแต่ในหนังสือมอบอำนาจเป็นลายเซ็น หรือพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือแล้วไม่มีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือสองคนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับลายเซ็นดังกล่าว ก็ไม่สามารถดำเนินการตามหนังสือมอบอำนาจได้ ต้องไปตามตัวให้มาดำเนินการด้วยตนเองซึ่งบางครั้งก็มาไม่ได้ทันทีเพราะไปอยู่ต่างประเทศหรือต่างจังหวัด 4) หนังสือมอบอำนาจนั้น อาจมีการมอบอำนาจไว้นานหลายปีแล้ว หากเป็นเช่นนั้นเจ้าหน้าที่จะไม่ยอมดำเนินการให้ตามที่มอบอำนาจมา เพราะไม่แน่ใจว่าคนมอบอำนาจตายไปแล้ว หรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ (ซึ่งหากผู้มอบอำนาจมีอายุมากแล้วเจ้าหน้าที่จะเพิ่มความระมัดระวังมากกว่าปกติ ซึ่งในการจะปฏิเสธไม่ดำเนินการให้ เจ้าหน้าที่จะสอบถามในแง่ต่าง ๆ เช่น อาจสอบถามว่าทำไมคนมอบอำนาจไม่มาเอง มีข้อขัดข้องอะไร และได้ติดต่อกับคนมอบอำนาจอีกบ้างหรือไม่ การให้คำตอบที่แสดงความลังเลน่าสงสัยก็จะทำให้เจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการให้) หรือได้ยกเลิกเพิกถอนหนังสือมอบอำนาจแล้วหรือไม่ เรื่องนี้สำคัญ เพราะกฎหมายแพ่งบัญญัติให้หนังสือมอบอำนาจหมดผลบังคับเมื่อผู้มอบอำนาจตาย หรือไร้ความสามารถ หรือยกเลิกเพิกถอนไปแล้ว การมอบไว้นาน ๆ ก็ต้องสงสัยไว้ก่อนว่าทำไมไม่นำมาดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว มีเหตุผลอะไร หากสอบถามแล้วยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่น่าขัดข้องที่จะให้ไปทำมาใหม่หรือให้การยืนยันว่ายังมีชีวิตอยู่จริง แต่อย่างไรก็ตามการยืนยันก็ไม่ง่ายนักเพราะเจ้าหน้าที่ไม่ทราบว่าจะใช้วิธีใด เพราะหากทำหนังสือยืนยันมาได้ ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ทำหนังสือมอบอำนาจฉบับใหม่เสียเลย และหากว่าจะใช้การโทรศัพท์มายืนยันต่อเจ้าหน้าที่ วิธีการนี้ก็ไม่น่าใช้ได้หากว่าเจ้าหน้าที่ไม่เคยรู้จักน้ำเสียงตัวคนมอบอำนาจมาก่อน ดังนั้นในกรณีมอบอำนาจไว้นานแล้ว การให้กลับไปทำหนังสือมอบอำนาจมาใหม่ หรือให้มาดำเนินการด้วยตัวเอง จึงเป็นทางเลือกของเจ้าหน้าที่ แต่ก็ทำให้การจดทะเบียนโอนต้องขัดข้องล่าช้าออกไป 5) ในปัจจุบันกรมที่ดินได้ออกระเบียบว่าด้วยมาตรการการป้องกันการทุจริตและคุ้มครองสิทธิของประชาชน ในการมอบอำนาจทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2554 ให้มีการถ่ายรูปผู้รับมอบอำนาจเก็บไว้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีในกรณีมีการทุจริตเกี่ยวกับการมอบอำนาจนั้น โดยให้ดำเนินการได้ในสำนักงานที่พร้อมและมีการประกาศให้ประชาชนทราบแล้ว ซึ่งในระเบียบมีข้อกำหนดว่าหากผู้รับมอบอำนาจไม่ยินยอมให้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน ให้ถือเป็นกรณีมีเหตุน่าสงสัย และให้เจ้าหน้าที่ปฏิเสธการดำเนินการตามหนังสือมอบอำนาจได้ ดังนั้น หากมีการมอบอำนาจมาและผู้รับมอบไม่ยินยอมให้ดำเนินการดังกล่าว (ซึ่งการไม่ยอมก็เท่ากับเป็นพิรุธ) เจ้าหน้าที่ก็คงไม่ยอมทำให้อย่างแน่นอน ก็จะทำให้การจดทะเบียนติดขัดได้ 2. การมอบอำนาจทำให้มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการปลอมหนังสือมอบอำนาจได้ง่าย เมื่อมีการมอบอำนาจทุกครั้งมีความเสี่ยงในการปลอมแปลงใหม่ได้เสมอ เพราะเมื่อเจ้าของที่ดินมอบอำนาจจะต้องมอบหลักฐานบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน และหนังสือมอบอำนาจพร้อมลายเซ็น และที่สำคัญคือโฉนด ให้ไว้กับผู้รับมอบอำนาจพร้อมทุกอย่าง ซึ่งปกติคนทั่วไปไม่สามารถหาหลักฐานเหล่านั้นมาได้โดยง่าย จึงเปิดโอกาสให้ผู้รับมอบอำนาจที่คิดจะทุจริตทำการปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจขึ้นใหม่ได้ง่าย ซึ่งการปลอมก็อาจปลอมเพื่อใช้กับที่ดินแปลงเดียวกันนั้น เพื่อเอาไปโอนขายให้คนอื่นไม่โอนขายให้คนซื้อคนเดิม และเอาเงินค่าขายที่ดินไว้เอง (หรือทำกับที่ดินแปลงอื่นในกรณีเจ้าของมีที่ดินหลายแปลง หรือกรณีจัดสรรที่ดินหรือทำคอนโดมิเนียม) หรืออาจปลอมเพื่อโอนขายให้ตนเองก่อนเพื่อให้แนบเนียนและสะดวกขึ้น แล้วจึงจะไปหาคนซื้อในภายหลังก็ได้ แต่ผู้ปลอมแปลงมักไม่เลือกวิธีนี้ เพราะต้องเสียค่าโอนก่อนแล้วจึงขายต่อในนามของตนเอง ซึ่งการปลอมแปลงทุจริตในทำนองนี้จะทำได้ง่ายยิ่งขึ้นหากผู้ปลอมเป็นผู้เก็บหลักฐานต่าง ๆ และโฉนดหรือเข้าถึงได้ง่ายอยู่แล้ว ซึ่งมักเป็นคนใกล้ชิดหรือเป็นพนักงานห้างร้านหรือบริษัทที่ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของมาก และกรณีเจ้าของที่ดินเดินทางไปอยู่ที่อื่นนาน ๆ หรือปล่อยปละละเลยไม่ได้ดูแลทรัพย์สินของตนให้ดี ก็ทำให้เกิดการปลอมแปลงได้ง่ายขึ้นมาก และกว่าจะรู้ตัวเวลาก็ล่วงเลยไปนานมากแล้ว ส่วนการปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจฝ่ายผู้ซื้อหรือรับให้ที่ดินนั้น โดยหลักการแล้วทำได้ง่ายกว่าการปลอมหนังสือมอบอำนาจของฝ่ายเจ้าของที่ดิน เพราะว่าการมอบอำนาจให้ซื้อหรือรับให้นั้น สำนักงานที่ดินไม่เคยมีหลักฐานลายเซ็นของคนซื้อมาก่อน ใครจะยื่นหนังสือมอบอำนาจของคนซื้อหรือรับให้มาอย่างไรก็ดำเนินการให้ตามนั้น ไม่ต้องตรวจเปรียบเทียบลายเซ็นเหมือนกรณีการมอบอำนาจของฝ่ายเจ้าของที่ดิน เพียงดูชื่อผู้มอบอำนาจฝ่ายผู้ซื้อให้ตรงกับหลักฐานบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านเท่านั้น จึงเท่ากับว่าจะใส่ชื่อใครเป็นคนซื้อก็ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ทราบมาก่อนว่าคนซื้อที่แท้จริงเป็นใคร อนึ่ง การมอบอำนาจที่ทำให้มีการปลอมแปลงตัวผู้ซื้อหรือเปลี่ยนตัวผู้ซื้อเป็นคนอื่นได้ง่ายดายที่สุดนั้น จะเกิดจากการมอบอำนาจประเภทที่ยินยอมให้ผู้รับมอบอำนาจของตนดำเนินการแทนคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้ด้วย เช่น มอบอำนาจให้ไปทำการโอนขายและในเวลาเดียวกันก็ยินยอมให้เขาเป็นผู้รับมอบอำนาจจากฝ่ายผู้ซื้อด้วย เพราะเมื่อรับมอบอำนาจมาแล้วคนรับมอบอำนาจสามารถทำหนังสือมอบอำนาจฝ่ายผู้ซื้อขึ้นมาใหม่ได้โดยสะดวก โดยอาศัยหลักการที่ว่าสำนักงานที่ดินไม่เคยมีหลักฐานลายเซ็นคนซื้อมาก่อน และไม่รู้ว่าเจ้าของที่ดินทำสัญญาจะซื้อจะขายไว้กับใครบ้างนั่นเอง วิธีเขียนหนังสือมอบอำนาจทำธุรกรรมเกี่ยวกับที่ดิน การมอบอำนาจ คือ การที่บุคคลหนึ่งเรียกว่า ตัวการ มอบให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า ตัวแทน มีอำนาจทำการแทน และการกระทำนั้นมีผลทางกฎหมายเสมือนว่าตัวการทำด้วยตนเอง การมอบอำนาจให้ทำกิจการใด ถ้าหากกฎหมายกำหนดว่าต้องทำเป็นหนังสือการมอบอำนาจให้ทำกิจการนั้น ก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย เช่น การซื้อขายที่ดินกฎหมายกำหนดว่าต้องทำเป็นหนังสือ การมอบอำนาจให้ขายที่ดินก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย ... ธุรกรรมและสัญญา TerraBKK รวบรวมหนังสือและสัญญาต่างๆ ดังนี้ หนังสือมอบอำนาจ การซื้อ ขาย จำนอง เอกสารสิทธิ นส3 นส3ก, หนังสือมอบอำนาจการซื้อ ขาย จำนอง โฉนดที่ดิน, หนังสือมอบอำนาจการซื้อ ขาย จำนอง อาคารชุด, สัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด, สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน, สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง, สัญญาเช่าที่ดิน, สัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 1 ... 3. แม้ตรวจสอบแล้วก็ไม่อาจแน่ใจว่าหนังสือมอบอำนาจนั้นจะไม่มีการปลอม ในการมอบอำนาจมาดำเนินการจดทะเบียนเกี่ยวกับที่ดิน แม้เจ้าหน้าที่จะตรวจลายเซ็นของเจ้าของที่ดินผู้มอบอำนาจและข้อความอื่น ๆ อย่างเข็มงวดก็ตาม แต่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจลายเซ็น เปรียบได้กับกรณีเช็คที่บางครั้งก็ตรวจไม่รู้ว่าเป็นลายเซ็นปลอม และการปลอมแปลงบางครั้งก็เกิดจากการเขียนเพิ่มเติมข้อความ โดยผู้เขียนคนเดียวกันซึ่งทำนอกเหนืออำนาจ ทำให้บอกไม่ได้ว่ามีการปลอมแปลงเกิดขึ้น และเจ้าหน้าที่ที่ดินก็ไม่ได้เป็นผู้ออกบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน บางครั้งตรวจแล้วไม่รู้ว่าเป็นเอกสารปลอม จึงจดทะเบียนให้ไป หากต่อมาเจ้าของที่ดินเกิดรู้ว่ามีการโอนที่ดินของตนไปโดยการปลอมหนังสือมอบอำนาจ ก็ฟ้องร้องเพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้ และจะให้ผู้เชี่ยวชาญการตรวจสอบลายเซ็นว่าปลอมจริงไม่ หากยืนยันว่าปลอม นิติกรรมนั้นจะต้องถูกเพิกถอน ซึ่งจะเกิดความเสียหายต่อคนซื้อที่จะไม่ได้ที่ดิน ส่วนเจ้าของที่ดินก็ต้องเสียเงินเสียเวลาฟ้องร้องเพื่อให้ใส่ชื่อตนกลับคืน แต่ถ้าคนขายเองเป็นคนประมาทเลินเล่อทำให้มีการปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจนั้น คนขายก็จะไม่ได้ที่ดินคืน เพราะจะยกเอาความประมาทเลินเล่อของตัวเองเพื่อให้พ้นความรับผิดชอบไม่ได้ เช่น คนขายเซ็นหนังสือมอบอำนาจไว้ แต่ไม่ได้กรอกข้อความให้ครบถ้วน แค่เซ็นไว้เฉย ๆ แต่ไว้ใจให้คนรับมอบอำนาจไปกรอกข้อความเพิ่มเติมให้ครบเอาเอง ผู้รับมอบอำนาจจึงอาจเปลี่ยนชื่อจากผู้ซื้อที่ตนขายตกลงกันไว้ แต่ใส่ชื่อคนซื้อคนใหม่แทน และเอาเงินค่าที่ดินไว้ อย่างนี้เห็นได้ชัดว่าคนขายประมาทเลินเล่อ ดังนั้นเมื่อคนซื้อซื้อโดยสุจริต เจ้าของจะฟ้องให้เพิกถอนการขายนั้นไม่ได้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้คนขายนอกจากเสียที่ดินไปแล้ว ยังถือว่าผิดสัญญากับคนซื้อเดิมจะต้องใช้ค่าเสียหายให้อีกด้วย ถือว่าผู้มอบอำนาจเสียหายสองต่อ ปกติการหลอกลวงที่เกี่ยวกับการปลอมหนังสือมอบอำนาจของคนขายนั้น ทำได้สองวิธีใหญ่ ๆ คือ การปลอมหนังสือมอบอำนาจแล้วอ้างกับคนอื่นว่าเจ้าของที่ดินมอบอำนาจมาให้หาคนซื้อ ซึ่งมักจะนำเอาสำเนาภาพถ่ายโฉนดหรือโฉนดตัวจริง ซึ่งได้มาด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง (ซึ่งอาจเป็นโฉนดปลอมหรือจริงก็ได้) การปลอมในลักษณะนี้คนปลอมไม่สนใจว่าลายเซ็นจะคล้ายหรือไม่ เพราะต้องการหลอกลวงเอาเงินมัดจำหรือเพียงให้เอาโฉนดยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ แต่ไม่ต้องการไปทำการจดทะเบียนใด ๆ ซึ่งคนที่เสียรู้จะเป็นคนไม่รอบคอบไม่ตรวจสอบลายเซ็นและตัวบุคคล แต่เชื่อตามที่คนนั้นอ้างเลย ซึ่งถือเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง แต่ถ้าเป็น การหลอกลวงที่ต้องการเงินค่าที่ดินทั้งหมด คนหลอกลวงจะต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจที่ดูว่าถูกต้องเป็นจริงที่สุด และจะต้องมีโฉนดตัวจริงมาแสดงด้วย แล้วจะมาทำการโอนที่สำนักงานที่ดิน เมื่อมาถึงสำนักงานที่ดินแล้วก็ยื่นเรื่องราวให้เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ คนปลอมแปลงก็จะพูดขอให้ชำระเงินกันเลย เมื่อได้เงินแล้วก็อ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำหรือออกไปธุระข้างนอกสักคู่แล้วหายไปเลย ซึ่งเรื่องแบบนี้ที่ทำได้สำเร็จเพราะคนซื้อเชื่อว่าคงไม่โกงแล้ว แต่ในความเป็นจริงต่อให้เจ้าหน้ารับเรื่องไว้และเซ็นชื่อในสัญญาแล้วยังไม่เสร็จขั้นตอน ต้องให้เจ้าพนักงานที่ดินผู้จดทะเบียนตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ และเรียกไปสอบถามว่าได้เงินแล้วหรือไม่ เมื่อถูกต้องแล้วจึงจะทำการจดทะเบียน กระบวนการจึงจะสำเร็จเรียบร้อย แต่ในกรณีถ้าคนรับมอบอำนาจมีความมั่นใจว่าปลอมหนังสือมอบอำนาจได้ไม่มีพิรุธ ซึ่งก็มักจะเป็นลายเซ็นเจ้าของจริงแต่ตัวคนปลอมได้เพิ่มเติมแก้ไขข้อความใหม่ในที่ว่าง ซึ่งบางครั้งดูไม่ออกว่ามีการแก้ไขเพิ่มเติมลงไปในภายหลัง ก็จะให้ดำเนินการต่อไปจนจดทะเบียนลงในโฉนดและรับเงินเมื่อเจ้าหน้าที่คนจดทะเบียนถามว่าได้รับเงินครบถ้วนแล้วหรือไม่ตามขั้นตอนปกติ (กรณีอ้างว่าเจ้าของที่ดินมอบอำนาจให้จัดหาคนซื้อ และวางมัดจำกับเขาเลยนั้น คนซื้อมีความเสี่ยงสูงสุด เพราะในการมาติดต่อเพื่อจะขายนั้น ขั้นตอนนี้ยังไม่มีการยื่นคำขอใด ๆ ต่อเจ้าหน้าที่ที่ดิน จึงไม่มีการตรวจลายเซ็นหรือตรวจสอบว่าเป็นโฉนดจริงหรือเปล่า คนซื้อจึงไม่อาจรู้ว่าเจ้าของมอบให้ขายจริงหรือไม่ เพราะโดยมากแล้วมักจะไม่ไปตรวจสอบทะเบียนที่ดินที่สำนักงานที่ดินว่าคนขายตัวจริงคือใคร และรายละเอียดเกี่ยวกับตัวคนขายเป็นใครก็ไม่รู้ไม่เคยเห็นลายเซ็นเขาเลย จึงไม่มีทางรู้ว่าเป็นหนังสือมอบอำนาจจริงหรือไม่ หากเป็นหนังสือปลอม คนซื้อย่อมต้องเสียหาย จึงไม่ควรติดต่อดำเนินการกับคนที่มาอ้างแบบนี้ไม่ว่าข้อเสนอจะดีอย่างไร หรือแม้จะเป็นกรณีการมอบอำนาจจริงเวลาทำสัญญาจะซื้อจะขายก็ควรต้องทำสัญญากับเจ้าของจริง อย่าทำผ่านผู้รับมอบอำนาจเป็นอันขาด และต้องขอบัตรประชาชนดูด้วยว่าเป็นชื่อเดียวกับโฉนด และจะต้องไปตรวจกับสำนักงานที่ดินก่อนว่าใครเป็นเจ้าของที่ดินที่แท้จริง เพราะว่าสำเนาโฉนดที่เอามาให้ดูนั้นอาจถ่ายมาจากโฉนดปลอมก็ได้ เรื่องวิธีปฏิบัติในการซื้อขายในไทยนั้นส่วนใหญ่ทำกันเอง ไม่พึ่งบริการทนายความหรือผู้รับจ้างทำสัญญาเกี่ยวกับที่ดิน (ในต่างประเทศเรียกผู้รับจ้างจัดการเกี่ยวกับการทำสัญญาและโอนที่ดินว่า conveyancer ซึ่งไม่ต้องเป็นทนายความแต่ต้องได้รับใบอนุญาตจากทางราชการก่อน หรืออาจจ้างทนายความทั่วไป ที่เรียกว่า solicitor ก็ได้) จึงมักทำกันไม่รอบคอบมีปัญหาตามมาบ่อย ๆ ) 4. ในบางกรณีผู้มอบอำนาจต้องรับผิดชอบด้วยเมื่อมีการปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจของตน เมื่อมีการปลอมหนังสือมอบอำนาจนั้นบางกรณีผู้มอบอำนาจเองก็ต้องรับผิดชอบด้วย ทั้ง ๆ ที่การปลอมแปลงเกิดจากการกระทำของคนอื่น ซึ่งมักเป็นการเซ็นหนังสือมอบอำนาจเปล่า ๆ โดยไม่ได้กรอกข้อความ หรือกรอกข้อความแต่ไม่ครบถ้วน ทำให้มีการเพิ่มเติมข้อความได้ตามใจชอบ ซึ่งมีคำพิพากษาฎีกาตัดสินไว้หลายคำพิพากษาว่าคนมอบอำนาจประมาทเลินเล่อ และจะต้องเสียหายจากการประมาทของตนอาจต้องเสียที่ดินไปเลย เช่น 1) คำพิพากษาฎีกาที่ 580/2507 เจ้าของที่ดินลงชื่อในใบมอบอำนาจโดยมิได้กรอกข้อความเพื่อให้ผู้รับอบอำนาจไปทำการอย่างอื่น แต่ผู้รับมอบกลับนำไปกรอกข้อความเป็นให้จำนอง ถ้าผู้รับจำนองได้ทำการรับจำนองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนจำนองโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เจ้าของที่ดินจะอ้างเอาความประมาท เลินเล่อของตนมาเป็นเหตุให้พ้นความรับผิดไม่ได้ 2) คำพิพากษาฎีกาที่ 751-752/2509 ลงชื่อในใบมอบอำนาจโดยมิได้กรอกข้อความเพื่อให้ผู้อื่นทำการแทน ถือว่าเป็นการกระทำที่ให้บุคคลภายนอกหลงเชื่อ จำต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก ผู้สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 822, 821 3) คำพิพากษาฎีกาที่ 419/2519 โจทก์มอบ น.ส.3 และหนังสือมอบอำนาจที่ลงแต่ลายมือชื่อโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ไว้เป็นประกันหนี้ค่าปุ๋ย โดยตกลงกันว่าจำเลยที่ 1 จะต้องคืนเมื่อโจทก์ชำระค่าปุ๋ยแล้ว แต่จำเลยที่ 1 กลับนำไปทำสัญญาจำนองไว้กับจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ไม่รู้ถึงข้อตกลง พฤติการณ์ของโจทก์ถือว่าได้กระทำไปด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โจทก์จึงต้องเสี่ยงภัยกับการกระทำของตนนั้น 4) คำพิพากษาฎีกาที่ 671/2523 การที่จำเลยลงชื่อในใบมอบอำนาจโดยมิได้กรอกข้อความเพื่อให้ผู้อื่นทำการแทนนั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่ให้บุคคลภายนอกหลงเชื่อ จำเลยจำต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับซื้อฝากโดยสุจริต 5) คำพิพากษาฎีกาที่ 1605/2506 จำเลยเซ็นชื่อในหนังสือมอบอำนาจเพื่อให้ ล. เอาที่ดินของจำเลยไปจำนองไม่เกิน 60,000 บาท ส่วนข้อความในใบมอบอำนาจให้ ล.กรอกเอาเอง ต่อมา ล. กรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจว่า ล. เป็นผู้มอบอำนาจจำนอง และจำนองโจทก์ไว้เป็นเงิน 200,000 บาท ดังนี้ หาทำให้การตั้งตัวแทนเป็นโมฆะไม่ แต่เป็นเรื่องที่ ล. ทำการเกินอำนาจของตน ซึ่ง ล. จะต้องรับผิดต่อจำเลยเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก แต่ทางปฏิบัติของจำเลยทำให้โจทก์เชื่อว่าการที่ ล. จำนองโจทก์ถึง 200,000 บาทนั้น อยู่ในอำนาจของ ล. เพราะถ้าจำเลยจะให้บุคคลอื่นรู้ว่า ล. มีอำนาจจำนองได้เพียง 60,000 บาท ก็ชอบที่จะเขียนจำนวนเงินที่จะจำนองในหนังสือมอบอำนาจให้ปรากฏชัด การที่จำเลยละเลย ถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ผู้รับจำนองโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 822 6) คำพิพากษาฎีกาที่ 1472-1473/2494 เจ้าของที่ดินเซ็นชื่อในใบมอบฉันทะ แล้วปล่อยว่างไว้ให้กรอกกันเอาเองว่าจะให้ไปทำอะไร บุคคลภายนอกไม่ทราบเจตนาของเจ้าของที่ดิน จึงใช้ใบมอบฉันทะนั้นทำสัญญาในฐานะเป็นตัวแทนเจ้าของที่ดิน จำนองที่ดินของเจ้าของที่ดินแก่ตนเอง ดังนี้ย่อมถือได้ว่าบุคคลภายนอกทำแทนเจ้าของที่ดินฝ่ายหนึ่งทำให้ในฐานะส่วนตัวเองฝ่ายหนึ่ง จึงย่อมเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาแล้ว เจ้าของสัญญาจะขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองนั้นไม่ได้ เพาะบุคคลภายนอกกระทำไปโดยสุจริต และนับเป็นการประมาทเลินเล่อของเจ้าของที่ดินเองที่ลงนามในใบมอบฉันทะเปล่า ๆ เช่นนั้น 5. การต้องรับผิดชอบเมื่อผู้รับมอบอำนาจเซ็นรับรองหรือรับรู้ข้อเท็จจริงบางเรื่อง ปกติเมื่อจะทำการจดทะเบียนเจ้าหน้าที่จะสอบสวนและบันทึกถ้อยคำหลายเรื่องเพื่อให้ผู้ซื้อเซ็นรับรอง เช่น ผู้ซื้อได้ติดต่อกับตัวเจ้าของจริง ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่าคนซื้อไม่ได้ติดต่อผิดคนและไม่มีการปลอมตัวมาขาย ซึ่งการยอมรับนี้ทำให้คนซื้อเองต้องมีส่วนในความรับผิดชอบในความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ซึ่งหมายถึงจะได้รับค่าเสียหายน้อยลงเพราะตนเองมีส่วนประมาทเลินเล่อในการติดต่อกับเจ้าของที่ดิน และเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นคนขายจริงนั่นเอง ในส่วนของคนรับมอบอำนาจก็ต้องเซ็นรับรองหลายเรื่องเช่นกัน เช่น รับรองว่าคนมอบอำนาจยังมีชีวิตอยู่ ไม่เป็นคนไร้ความสามารถ การเซ็นแบบนี้เท่ากับรับรองว่าเป็นอย่างนั้นจริง แต่ในข้อเท็จจริงอาจไม่เป็นจริงก็ได้ จึงทำให้เกิดความเสี่ยงได้เสมอ เพราะบางกรณีมีการมอบอำนาจมานานแล้ว และไม่ได้ติดต่อกับคนมอบอำนาจอีกเลยก็เลยไม่รู้ความจริง สิ่งสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือคนมอบอำนาจจะต้องรับผิดชอบทุกอย่างในเรื่องที่คนรับมอบอำนาจไปเซ็นรับรองอะไรไว้ ถ้าหากว่าการดำเนินการนั้นเป็นไปตามปกติเพื่อให้การที่รับมอบอำนาจนั้นสำเร็จลุล่วงไป ซึ่งในหนังสือมอบอำนาจนั้นปกติมักจะให้เขียนว่าให้รวมถึงการให้ถ้อยคำต่าง ๆ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จนเสร็จการ ซึ่งในทางกฎหมายเรื่องตัวการตัวแทนถือว่าผู้มอบอำนาจเป็นผู้ทราบเรื่องและต้องรับผิดชอบตามที่ผู้รับมอบอำนาจไปรับรองด้วย เมื่อผู้รับมอบอำนาจได้ดำเนินการไปภายในอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบอำนาจ คำพิพากษาฎีกาที่ 247/2510 ตัวการมอบอำนาจให้ตัวแทนมีอำนาจรับจำนองที่พิพาทแทนจนเสร็จการ ตัวแทนย่อมมีอำนาจทำการใด ๆ ในสิ่งที่จำเป็นได้เพื่อการรับจำนองได้สำเร็จลุล่วงไป เมื่อตัวแทนรับทราบว่าที่พิพาทนั้นอยู่ในระหว่างเป็นความกัน แต่รับจำนองไว้ ผลก็เท่ากับตัวการรับจำนองไว้โดยรู้ว่าเขาเป็นความกัน เมื่อปรากฏภายหลังว่าผู้จำนองไม่มีสิทธิเอาที่พิพาทไปจำนอง การจำนองก็ไม่ผูกพันเจ้าของที่แท้จริง นอกจากนี้ในบางกรณีเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสารบบที่ดินแล้ว พบว่าอาจมีปัญหาบางเรื่อง ก็จะแจ้งให้คู่สัญญาทราบ หากทั้งสองฝ่ายรับทราบปัญหาแล้วยังยืนยันให้จดทะเบียนก็จะให้ลงชื่อรับทราบไว้ และดำเนินการให้ตามประสงค์ต่อไป ซึ่งหากเรื่องที่ผู้รับมอบอำนาจทำไปนั้นอยู่ในอำนาจในการดำเนินเรื่องให้เสร็จสิ้นไปตามที่ได้รับมอบมาคนมอบอำนาจก็ต้องรับผิดชอบด้วย แนวทางการป้องกันการปลอมแปลงและลดความเสียหาย 1. ฝ่ายผู้มอบอำนาจให้ขาย (รวมถึงเจ้าของสิทธิอื่น ๆ ในที่ดิน) 1) ต้องเก็บรักษาเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ให้ดี ในการปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจเพื่อขายหรือจำนองที่ดิน ผู้ปลอมแปลงจะต้องได้โฉนดไปดำเนินการด้วย จึงต้องเก็บรักษาโฉนดไว้ให้ปลอดภัยที่สุด อย่าให้ตกอยู่ในมือคนอื่นไม่ว่าด้วยการถูกขโมยหรือการให้ไปโดยเต็มใจ เพราะการที่โฉนดตกอยู่ในมือคนอื่นนั้น นอกจากจะทำให้ช่วยในการปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจเพื่อโอนขายที่ดินนั้นแล้ว ยังอาจมีการนำไปแสวงหาประโยชน์อย่างอื่นโดยมิชอบได้ เช่น นำไปหลอกคนอื่นว่าเจ้าของต้องการกู้เงินและให้เอาโฉนดไปยึดถือไว้จนกว่าจะใช้หนี้ ซึ่งแม้จะไม่เป็นการจำนองถูกต้องตามกฎหมาย แต่เจ้าของก็เดือดร้อนได้เพราะไม่สามารถนำโฉนดไปดำเนินการใด ๆ ได้ อาจต้องยอมเสียเงินเพื่อให้ได้โฉนดคืนมา และหากจะขอออกใบแทนโฉนดใหม่ในกรณีถูกขโมยไปก็ต้องหาคนที่เชื่อถือได้ไปเป็นพยานให้เจ้าพนักงานที่ดินสอบสวนว่าโฉนดหายไปจริงหรือไม่ ซึ่งไม่ง่ายนักที่จะหาคนไปช่วยเหลือรับรองให้ เพราะคนอื่นมักไม่รู้ข้อเท็จจริง และในการออกใบแทนโฉนดกรณีสูญหายก็ต้องประกาศอีก 30 วัน หากไม่มีคนคัดค้านจึงจะออกใบแทนโฉนดใหม่ได้ ซึ่งหากเจ้าของต้องการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินโดยเร็ว เช่น จะนำไปประกันตัวคนในครอบครัวหรือผู้อื่นก็ทำไม่ได้ทันท่วงที ส่วนกรณีมอบโฉนดให้คนอื่นไป และเขาเอาไปให้เจ้าหนี้ยึดไว้แล้วไม่ยอมคืนให้ จะต้องฟ้องให้ส่งคืนโฉนด จะใช้วิธียื่นคำขอใบแทนโฉนดโดยอ้างว่าโฉนดหายไปนั้นทำไม่ได้ จะกลายเป็นแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่มีโทษทางอาญา ในบางครั้งคนที่จะทำทุจริตต้องการได้โฉนดไปก็อาจมาขอดูเพื่อจะซื้อ และอาจอ้างว่าขอนำเอาไปถ่ายเอกสาร เสร็จแล้วก็ไม่นำโฉนดมาคืนให้โดยเร็วโดยอ้างเหตุต่าง ๆ การจะให้โฉนดไปอยู่ในความครอบครองของคนอื่นจึงต้องระวังมาก ทางที่ดีที่สุดหากเขาต้องการสำเนาภาพถ่ายโฉนด เจ้าของควรไปถ่ายมาให้ไม่ควรมอบตัวโฉนดให้เขาไป เคยมีการฟ้องร้องกันในคดีหนึ่ง ผู้ปลอมโฉนดขอดูโฉนดและเอาโฉนดที่ปลอมไว้แล้วนำมาสับเปลี่ยนฉบับจริงโดยตัวเจ้าของโฉนดไม่ทันสังเกตก็มี (ซึ่งในข้อเท็จจริงมีแบบพิมพ์โฉนดของกรมที่ดินสูญหายอยู่บ่อย ๆ ผู้ปลอมแปลงมักเป็นแก๊งปลอมโฉนดที่มีความชำนาญในเรื่องนี้ รู้เรื่องงานที่ดินเป็นอย่างดี) การเก็บรักษาเอกสารประจำตัวบุคคล เช่น บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ควรเก็บรักษาให้ดีเช่นกัน เมื่อมีการถ่ายเอกสารเพื่อนำไปใช้ในการโอนที่ดิน อย่าเขียนขีดคร่อมว่าเพื่อทำนิติกรรมหรือเพื่อใช้ในการโอนโฉนด เพราะเท่ากับว่าใช้ได้ไม่ว่ากับแปลงใด ๆ และไม่ว่าเป็นนิติกรรมแบบใดและทำกับใครด้วย เป็นการเปิดโอกาสให้คนทุจริตนำไปใช้ในการโอนที่ดินแปลงอื่นได้ ควรเขียนให้ชัดเจนว่าใช้กับโฉนดหมายเลขใด โอนให้ผู้ใด(ใส่ชื่อ) และประเภทนิติกรรมที่จะทำด้วย จะได้นำไปใช้นอกเหนือจากนั้นไม่ได้ 2) ในการเลือกผู้รับมอบอำนาจให้ใครไปดำเนินการแทนนั้นเป็นเรื่องต้องระวังสูงสุด ต้องเลือกคนที่ไว้ใจได้จริง ๆ อย่ามอบให้คนอื่นที่ไม่รู้จักดีไปดำเนินการแทนให้ แต่ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ วิธีการป้องกันในกรณีเช่นนั้นคือควรมอบอำนาจให้ไปดำเนินการร่วมกันสองคน ซึ่งสามารถทำได้ตามกฎหมาย ปกติการมอบอำนาจให้ทำร่วมกันสองคน หากจะทำการทุจริตก็ต้องร่วมมือกันทั้งสองคน ซึ่งยากกว่าทำคนเดียว หรือถ้าไม่อยากทำเช่นนั้นก็ให้คนอื่นร่วมเดินทางไปด้วยกัน โดยต้องบอกให้คนนั้นรับรู้ว่าต้องดูแลอะไรบ้างคอยเป็นหูเป็นตาให้ 3) ไม่ควรมอบให้คนรับมอบอำนาจคนเดียวทำหน้าที่แทนทั้งฝ่ายเจ้าของสิทธิในที่ดินและคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง การให้ผู้รับมอบอำนาจทำหน้าที่แทนทั้งสองฝ่าย หรือยอมให้ผู้รับมอบอำนาจทำในนามตนเองได้ เช่น ให้ผู้ซื้อทำหน้าที่เป็นทั้งผู้รับมอบอำนาจจากผู้ขายและยังเป็นผู้ซื้อด้วย ทำให้เขามีโฉนดและเอกสารหลักฐานและตัวอย่างลายเซ็นของทุกฝ่ายอยู่ในมือ ซึ่งหากจะเปลี่ยนแปลงข้อความหรือปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจขึ้นใหม่จะทำได้ง่ายกว่าปกติมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้รับมอบอำนาจเป็นผู้เขียนหนังสือมอบอำนาจ หรือผู้มอบอำนาจเขียนข้อความไม่รัดกุมหรือเซ็นชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยไม่เขียนให้ครบถ้วนก่อน 4) กรณีที่ผู้มอบอำนาจไม่สามารถติดต่อกับผู้รับมอบอำนาจและคู่สัญญาได้เป็นเวลานาน ๆ ต้องระวังเป็นพิเศษ การมอบอำนาจที่ผู้มอบไม่สามารถอยู่ติดตามตรวจสอบด้วยตนเองเป็นเวลานาน ๆ เช่น ไปต่างประเทศหรือไปต่างจังหวัดนาน ๆ จะต้องระวังให้มาก เพราะจะมีช่วงเวลานานมากที่เปิดช่องให้คนรับมอบอำนาจไปทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง หรืออาจโกหกว่าดำเนินการเสร็จแล้วแต่ที่จริงยังไม่ได้ทำอะไร เพื่อให้มีเวลาไปหาคนซื้อคนใหม่เพื่อเอาเงินไว้เอง เพราะบางครั้งผู้มอบเองก็ไม่สามารถติดต่อกับคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ หรือไม่ อาจเข้าใจว่ายังดำเนินการตามเดิม แต่จริง ๆ แล้วอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ เพราะผู้รับมอบอำนาจอาจโกหกคู่สัญญาฝ่ายนั้นเพื่อการเลื่อนเวลาหรือหลอกลวงใด ๆ ได้โดยสะดวกเช่นกัน จึงควรให้มีคนช่วยตรวจดูแลการดำเนินการของผู้มอบอำนาจและให้ติดต่อกับคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งด้วย ในกรณีการบริหารจัดการในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่ทำการจัดสรรที่ดินหรือคอนโดมิเนียม การมอบหมายให้พนักงานคนใดคนหนึ่งมีอำนาจจัดการใด ๆ เพียงคนเดียว เช่น มีอำนาจจัดเก็บเอกสารและโฉนด มีหน้าที่ทำสัญญาต่าง ๆ กับคนซื้อ มีอำนาจรับเงินเพียงคนเดียว และรู้ข้อมูลทุกอย่าง เป็นคนกำหนดนัดหรือเลื่อนนัดลูกค้าเพื่อการทำนิติกรรมต่าง ๆ จะเอื้ออำนวยในการทำทุจริตได้ไม่ยากนักถ้าคิดจะทำ และถึงแม้จะตรวจพบทีหลังแต่ก็ก่อให้เกิดความเสียหายแล้ว วิธีดีที่สุดคือต้องมีการควบคุมตรวจสอบการทำงานอย่างรัดกุมใกล้ชิดจะทำให้พนักงานไม่กล้ากระทำผิด 5) การเขียนมอบอำนาจต้องให้ชัดเจนและควรใส่ชื่อคู่สัญญาไว้เลย อย่าเพียงเขียนว่ามอบอำนาจให้ทำการขายลอย ๆ ซึ่งการทำอย่างนั้นหมายถึงขายให้ใครก็ได้ หากคนรับมอบอำนาจนำที่ดินไปขายให้คนอื่นไม่ขายให้คนที่ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายไว้เป็นคนแรก ผู้ขายก็ต้องรับผิดชอบต่อคนทำสัญญาจะซื้อจะขายคนแรกด้วย เพราะเท่ากับผิดสัญญากับเขานั่นเอง ในช่องมอบให้มีหน้าที่ดำเนินการอะไรจึงควรเขียนข้อความเพิ่มว่าขายให้แก่...(ใส่ชื่อคู่สัญญา)... ฯลฯ ไว้ด้วยให้ชัดเจน ถ้าหากในวันไปทำการจดทะเบียนโอนขายที่สำนักงานที่ดิน ปรากฏว่ามีการมอบอำนาจจากฝ่ายผู้ซื้อ โดยผู้รับมอบอำนาจบอกว่าคนซื้อขอเปลี่ยนชื่อผู้ซื้อให้รับโอนแทนคนซื้อเดิมผิดจากตอนทำสัญญาจะซื้อจะขาย หากคนขายเชื่อตามนั้นเลยก็อาจมีการโอนให้คนใหม่ได้ง่าย ๆ ซึ่งหากมีการทุจริตโดยการปลอมหนังสือมอบอำนาจมาดำเนินการ คนขายอาจต้องรับผิดชอบต่อคนซื้อคนแรกด้วย เพราะไม่ทำการโอนให้เขา การจะป้องกันทำได้โดยต้องสอบถามคนซื้อเดิมว่ามีการเปลี่ยนตัวจริงหรือไม่ วิธีการทำการซื้อขายที่ดินที่ถูกต้องนั้นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะต้องติดต่อกันเป็นประจำและต้องบอกวิธีการดำเนินการต่าง ๆ ทุกเรื่อง เช่น จะไปทำด้วยตนเองหรือจะมอบอำนาจไป หากจะเปลี่ยนแปลงอะไรเกี่ยวกับสัญญาก็ต้องตกลงกันก่อนอย่าทำผิดจากสัญญาจะซื้อจะขาย เพราะเมื่อทำสัญญาไปแล้วก็มีหน้าที่ต้องทำตามสัญญานั้น จะปลี่ยนแปลงโดยพลการไม่ได้ หากไม่เป็นไปตามนั้นก็ต้องปฏิเสธไปและยืนยันให้ทำตามเดิมหรือต้องมาตกลงกันใหม่ 6) ต้องเอาใจใส่ในการตรวจสอบหลังมอบอำนาจให้ไปดำเนินการ การตรวจสอบใบเสร็จหลังจากไปดำเนินการตามที่มอบหมายแล้วเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะบอกได้ว่าได้ไปดำเนินการแล้วหรือไม่ การตรวจดูก็ต้องดูหมายเลขโฉนด ชื่อผู้ซื้อผู้ขายว่าตรงกับที่กำหนดไว้หรือไม่ มีการแก้ไขใบเสร็จหรือไม่ ในการตรวจสอบแบบนี้กรณีถ้าเป็นหุ้นส่วนบริษัทการให้พนักงานเอาใบเสร็จมาตรวจและรายงานการไปดำเนินการก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเป็นกรณีคนธรรมดาการบอกให้เอาใบเสร็จมาดูอาจต้องใช้คำพูดที่ไม่ให้เห็นว่าไม่ไว้วางใจกัน ควรใช้คำพูดเช่นขอให้เอาใบเสร็จกลับมาด้วยจะได้ใช้ประกอบการยื่นภาษีรายได้ประจำปี หรือขอคืนภาษี หรือจะได้คิดเงินว่าต้องคืนให้เราหรือจ่ายคืนให้คนมอบที่ออกแทนไป เพราะเราต้องได้เงินคืนหรือจ่ายเพิ่มให้ด้วยนั่นเอง แต่ความจริงแล้วเราต้องการเพื่อตรวจดูเลขโฉนด ชื่อผู้โอนหรือผู้ซื้อด้วยว่าตรงกันหรือเปล่า เป็นการป้องกันการปลอมแปลงฉ้อฉลต่างๆ ได้เป็นอย่างดี 7) ในการชำระเงินควรให้คนซื้อชำระให้แก่คนขายโดยตรง ในกรณีมีการมอบอำนาจหรือไม่ก็ตามควรให้ชำระเงินให้กับผู้ที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายเท่านั้น (ปกติก็คือคนเจ้าของที่ดิน) หากชำระให้แก่คนอื่นไปจะถือว่ายังไม่ได้ชำระแก่คนขาย ถ้าจะให้คนรับมอบอำนาจเป็นคนรับเงินด้วยก็ต้องระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจให้ชัดแจ้ง เพราะคนรับมอบอำนาจนั้นปกติแล้วมักเขียนให้มีอำนาจในเรื่องการทำนิติกรรม ไม่มีอำนาจรับเงินค่าที่ดินจากคนซื้อหากไม่ได้ให้อำนาจไว้ ทางที่ดีควรให้ชำระเป็นแคชเชียร์เช็คโดยระบุชื่อคนขายเป็นคนรับเงินจะปลอดภัยที่สุด 2. ฝ่ายซื้อ (รวมผู้รับจำนอง) 1) ในการติดต่อซื้อขายที่ดิน โดยหลักการแล้วจะต้องติดต่อกับตัวเจ้าของที่ดินโดยตรง ถ้ามีผู้อ้างว่ารับมอบอำนาจจากเจ้าของที่ดินให้มาขายที่ดินโดยจะอ้างเหตุผลใดก็ตาม เช่น เจ้าของไม่สะดวกจะทำด้วยตัวเอง หรือบอกว่าเจ้าของไม่อยากเปิดเผยตัว อย่างนี้ยังไม่ควรติดต่อทำสัญญาวางมัดจำกับเขาโดยตรง เพราะในขั้นตอนนี้ยังไม่ผ่านการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ก่อน ย่อมไม่อาจรู้ได้ว่ามีการมอบอำนาจจริงหรือไม่ หากจะทำสัญญากับผู้รับมอบอำนาจ ก็ต้องให้ไปพาไปพบตัวเจ้าของไปทำสัญญากับเจ้าของจะดีกว่า จะต้องตรวจเช็คว่าเป็นตัวเจ้าของจริงโดยดูบัตรประชาชน และขอสำเนาโฉนดไปขอตรวจหลักฐานที่ดินกับฉบับสำนักงานที่ดินก่อน หากไม่ให้ดูก็ไม่ต้องซื้อ นอกจากนี้ต้องไปดูหลักเขตที่ดินและต้องสอบถามคนข้างเคียงว่าที่ดินนั้นเป็นของใคร เคยได้ยินว่ามีกรณีพิพาทกับเจ้าของอื่น ๆ เรื่องแนวเขตหรือไม่ โดยสรุปแล้วการทำสัญญาโดยตรงกับผู้รับมอบอำนาจไม่ควรทำอย่างยิ่ง อย่างน้อยจะต้องไปพบเจ้าของและให้ยืนยันว่ามอบอำนาจให้ทำสัญญาจะซื้อจะขายจริง อันที่จริงเมื่อพบกับเจ้าของก็ควรทำสัญญาวางเงินกับเขาโดยตรงจะดีกว่า และควรกำหนดไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายว่าผู้ขายจะไปดำเนินการด้วยตนเอง หากมีกรณีจำเป็นต้องมอบอำนาจ ก็ต้องให้ผู้ขายแจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่าจะมอบให้ใครไปดำเนินการแทน หากฝ่ายคนขายไม่แจ้งมาก่อนแต่กลับส่งให้ผู้รับมอบอำนาจมาทำแทน คนซื้อจะต้องเป็นฝ่ายติดต่อกลับไปให้ยืนยันว่าเป็นการมอบอำนาจจริง 2) จะต้องติดต่อกับผู้ขายเป็นระยะ ๆ อย่าเชื่อแต่ผู้รับมอบอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้รับมอบอำนาจจะดำเนินการใด ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือกำหนดการต่าง ๆ ที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว เพื่อให้ผู้มอบอำนาจได้รับรู้การกระทำของผู้มอบอำนาจว่าทำนอกเหนืออำนาจหรือไม่ และเพื่อที่จะได้ทราบว่าอีกฝ่ายจะดำเนินการอย่างไรต่อไปจะได้สามารถคาดการณ์ได้ว่าเขาจะทำตามสัญญาหรือไม่ จะได้รู้ตัวและรีบอายัดที่ดินหรือฟ้องร้องหรือดำเนินการอื่นตามสมควรต่อไป 3) การชำระเงินใดๆ ไม่ควรมอบเงินให้แก่ผู้รับมอบอำนาจโดยตรง ไม่ว่าผู้รับมอบอำนาจจะอ้างอย่างไร ก็ไม่ควรมอบเงินค่าที่ดินให้เขา เว้นแต่ได้กำหนดไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายไว้ชัดแจ้งแล้ว และ ควรชำระด้วยแคชเชียร์เช็คที่ลงชื่อคนขายเป็นผู้รับเงินตามเช็ค เพื่อที่จะได้แน่ใจว่าไม่ชำระผิดตัว และจะต้องไม่ชำระเงินให้ผิดจากที่ตกลงกันไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายโดยไม่ได้ตกลงกับคนขายก่อน เพราะคนปลอมแปลงหรือคนฉ้อโกงใดๆ ย่อมต้องการได้เงินจากคนซื้อโดยตรง หากชำระเงินผิดพลาดให้คนอื่นไปคนซื้อจะต้องรับผิดชอบชำระให้แก่ผู้ขายอีกครั้งหนึ่ง ทางที่ดีที่สุดในการชำระเงินที่เหลือให้ชำระต่อหน้าเจ้าพนักงานที่ดินผู้จดทะเบียน เมื่อพากันไปจดทะเบียนโอนขายที่สำนักงานที่ดิน แม้จะยื่นเรื่องให้เจ้าหน้าที่เตรียมเอกสารเพื่อการจดทะเบียนแล้ว แต่ก็อย่าเพิ่งรีบชำระค่าที่ดินที่เหลือทั้งหมดทันที ให้รอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบโฉนดที่ดิน หนังสือมอบอำนาจและเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องว่าถูกต้องก่อน รอให้เสียค่าธรรมเนียมภาษี อากร และให้เจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นผู้จดทะเบียนโอน(เป็นคนละคนกับคนรับคำขอและจัดทำสัญญา) เรียกให้ไปพบก่อน เมื่อผู้จดทะเบียนถามคนขายว่าได้รับเงินหรือยัง (เป็นหน้าที่ของคนจดทะเบียนจะต้องถามถึงเรื่องการชำระเงินทุกราย) ถึงตอนนี้จึงให้ส่งมอบเงินหรือเช็คให้แก่คนขาย เพราะถ้าหากรีบร้อนชำระเงินไปตั้งแต่ตอนยื่นเรื่องเลย ถ้าผู้รับมอบอำนาจนำหนังสือมอบอำนาจปลอมมาใช้ (หรือแม้แต่เจ้าของมาเองไม่ได้การมอบอำนาจมาก็ตาม) เมื่อได้รับเงินแล้วก็อาจอ้างว่ามีธุระ เช่น เพื่อไปห้องน้ำ หรือไปรับประทานอาหาร แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ซึงหากเป็นเช่นนั้นแม้จะเตรียมเอกสารเพื่อการจดทะเบียนเสร็จแล้ว เจ้าพนักงานที่ดินคนที่มีอำนาจจดทะเบียน ก็จะจดทะเบียนให้ไม่ได้ เพราะไม่มาให้สอบสวนยืนยันว่าได้รับเงินแล้ว 4) ถ้าผู้ซื้อจะมอบอำนาจให้คนอื่นไปดำเนินการแทนจะต้องระวังเช่นกัน เนื่องจากว่าการปลอมหนังสือมอบอำนาจของฝ่ายผู้ซื้อทำได้ง่ายมาก เพราะสำนักงานที่ดินไม่เคยมีตัวอย่างลายเซ็นคนซื้อมาก่อนเพื่อเปรียบเทียบกับลายเซ็นในหนังสือมอบอำนาจ จึงต้องมอบให้คนที่ไว้วางใจได้ไปดำเนินการแทน และแจ้งให้คนขายทราบด้วยว่าจะมอบให้ใครไปดำเนินการ อย่าปล่อยให้คนขายทราบเอาในตอนที่ไปยื่นคำขอจดทะเบียนโอนขาย เพราะคนรับมอบอำนาจของคนซื้อเองอาจทุจริตปลอมหนังสือมอบอำนาจขึ้นใหม่ และอ้างว่าคนซื้อขอให้ลงชื่อคนอื่นแทนได้ หากคนขายไม่รอบคอบและไม่สอบถามกลับมาที่คนซื้อว่าเปลี่ยนให้ลงชื่อคนอื่นแทนจริงหรือไม่ จะทำให้มีการโอนขายให้คนอื่นไปได้ จะกลายเป็นว่าคนขายเองก็เป็นผู้ผิดสัญญาด้วยเช่นกันที่ไปโอนให้แก่คนอื่น ส่วนคนซื้อเองก็เดือดร้อนเพราะมีการจดทะเบียนขายไปให้คนอื่นแล้ว จะต้องมีการฟ้องร้องเสียเงินเสียเวลาเพื่อที่จะได้ซื้อที่ดินเป็นชื่อตนเอง หรือเพื่อเอาเงินคืน 5) ต้องตรวจสอบหลังการดำเนินการโอนขาย ปกติการตรวจสอบโดยฝ่ายผู้ซื้อนั้นทำได้ง่าย เพราะเมื่อทำการโอนแล้วก็จะต้องได้สัญญาซื้อขายฉบับผู้ซื้อกับตัวโฉนดมาเก็บรักษาไว้ ซึ่งเอกสารทั้งสองฉบับจะมีตราที่ใช้ในการจดทะเบียนประทับบนลายเซ็นของเจ้าพนักงานที่ดินคนที่จดทะเบียน ส่วนใบเสร็จรับเงินนั้นปกติคนขายจะเป็นคนเก็บไว้ การตรวจสอบก็แค่ดูว่าชื่อนามสกุลและประเภทการจดทะเบียนถูกต้องหรือไม่ หากไม่ถูกต้องก็ต้องรีบนำไปให้เจ้าหน้าที่จัดการแก้ไขโดยเร็วเพราะเจ้าหน้าที่ยังจำเรื่องได้ดี แต่หากคนรับมอบอำนาจไม่นำเอกสารดังกล่าวมามอบให้ ก็แสดงว่าอาจไม่ได้จดทะเบียนจริง ๆ หากตนเองมอบเงินให้แก่ผู้รับมอบอำนาจไปชำระให้คนขายเขาก็อาจยักยอกเงินไป ก็ต้องรีบติดต่อทวงถามคนรับมอบอำนาจโดยเร็ว และสอบถามคนขายอีกทางหนึ่งด้วยก็ได้ว่ามีการจดทะเบียนไปแล้วหรือยัง แต่ถ้าจะให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องที่สุดควรไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินโดยตรง หมายเหตุ : บทความนี้ไม่ได้ต้องการให้กลัวการมอบอำนาจเกินเหตุ เพียงแต่มุ่งหมายเพื่อให้คนที่รอบคอบสูงสุดได้ใช้เป็นแนวทางในการทำการซื้อขายที่ดินที่มีการมอบอำนาจให้ดำเนินการแทนคู่สัญญา เพราะมีคดีปลอมแปลงหรือทำทุจริตเกี่ยวกับหนังสือมอบอำนาจอยู่บ้าง แม้จะเกิดขึ้นน้อยมาก แต่อย่างไรก็ตามมีโอกาสเกิดขึ้นได้ หากได้รู้วิธีการป้องกันล่วงหน้าก็จะทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ต้องเสียหาย ขอบคุณบทความดี ๆ จาก โดย คุณวสันต์ กิจบำรุง (หมอที่ดิน) อดีตเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน 8 บทความโดย : TerraBKK คลังความรู้ TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก


อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : TerraBKK.com - https://www.terrabkk.com/news/49526

วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ตากะยาย


 
 


มีชาย-หญิงคู่นึงแต่งงานอยู่ด้วยกัน
กระทั่งถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรกันเลยเชียวหล่ะ
ฝ่ายหญิงมีกล่องเก็บของอยู่ใบหนึ่งวางในตู้เสื้อผ้า
และกำชับแกมขอร้องสามีว่าอย่าได้เปิดดูหรือถามใดใดทั้งสิ้น
ฝ่ายสามีก้อช่างน่ารักเสียเหลือเกิน
ไม่เคยปริปากถามเรื่องกล่องใบนั้นอีกเลย
วันเวลาผ่านไปหลายสิบปี อยู่มาวันหนึ่งฝ่ายหญิงป่วยมาก
หมอลงความเห็นว่าเธอคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นานเธอจึงวานให้สามีช่วยไปหยิบกล่องใบนั้นจากตู้เสื้อผ้า
หลังจากที่ฝ่ายชายกลับมาพร้อมกับยื่นกล่องให้เธอ
เธอเปิดฝากล่องขึ้นมาพบว่ามี
ตุ๊กตาถักไหมพรมกับเงินอีกจำนวนหนึ่ง (ประมาณว่า 1,000,000 บาท)
บรรจุอยู่ข้างใน
ฝ่ายหญิงเริ่มเอ่ย "ในวันแต่งงานของเรา
คุณย่าของฉันได้ให้บทเรียนสอนใจ
ท่านว่าครอบครัวสมรสเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
หนักนิดเบาหน่อยต้องให้อภัยและอดทนให้เกียรติซึ่งกันและกั
ไว้เนื้อเชื่อใจ
มีความรักให้แก่กัน
และที่สำคัญคือมีความเข้าใจกัน "เธอหยุดพูด
พร้อมกับยื่นมืออันแทบจะไร้เรี่ยวแรงลูบตุ๊กตาไหมพรมไปมา
"
คุณย่าได้แนะเคล็ดลับให้ว่า
เมื่อใดที่ความรู้สึกไม่พอใจเกิดขึ้น
หรือรู้สึกโกรธมากๆ
ขึ้นมา ให้ถักตุ๊กตาไหมพรมเก็บไว้ ตัวเสมอ"
ฝ่ายชายเหลือบมองเข้าไปในกล่อง
มีตุ๊กตาไหมพรม ตัววางอยู่
เขาเบือนหน้าไปอีกทาง
เพื่อหลบหยดน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ
เขารู้สึกซาบซึ้งน้ำใจของภรรยามีต่อเขาเป็นยิ่งนัก
ชีวิตสมรสที่ยาวนานกว่า 50 ปี
มีตุ๊กตาไหมพรมเพียง ตัว
เท่านั้นแทนจำนวนครั้งที่ภรรยาได้โกรธเคืองเขา
หลังจากปาดคราบน้ำตาแล้ว เขาหันกลับมา
ฝ่ายภรรยาพูดต่อ
เธอคงแปลกใจกับเงินก้อนนี้สินะ"
ฝ่ายหญิงหยิบมันขึ้นมา
แล้วพูดต่อว่า
"
มันเป็นเงินที่ได้มาจากการทยอยขายตุ๊กตาไปทีละตัวๆ ค่ะ"

ทำไมคนที่เรารักมากที่สุด...เรากลับเกรงใจน้อยที่สุด

ทำไมคนที่เรารักมากที่สุด...
เรากลับเกรงใจน้อยที่สุด...
เชื่อว่าหลายๆ คนคงเป็นกันเหมือนกัน
เรายอมอ่อนน้อมถ่อมตน พูดเพราะ
เข้าใจอะไรง่ายๆ กับ "คนอื่น"



แต่กับคนที่เรารักหรือรักเรา
คนที่เราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด
บางครั้ง...เรากลับเมินเฉยต่อเขา

เราเกรงใจคนแปลกหน้า
ที่เขาไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเราเลย
แต่กับคนที่เขาแคร์เรา และเราแคร์เขามากๆ
เรากลับทำอะไรโดยไม่เกรงใจเขา



เราทำดี..พูดดี..กับใครได้หลายคน
แต่กับคนที่เราเรียกว่า "คนกันเอง"
เรากลับไม่ค่อยได้ทำอะไรให้เขาปลื้มใจ
หรือแคร์อารมณ์เขาเลย

เหมือนอย่างบางคนระยะจีบกันแรกๆ
เอาอกเอาใจสารพัด
พอเป็นแฟนกันแล้ว
ฝ่ายหญิงกลับรู้สึกว่าฝ่ายชาย "เอาใจ" น้อยลง
และ "เอาแต่ใจ" ตัวเองมากขึ้น
คำพูดหวานๆ หายจากไป
พร้อมกับคำว่า...
"อยู่กับเราเขาเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด
เพราะไว้ใจเราที่สุด"



แต่ความรัก..
นอกจากจะเป็นการถ่ายเท
ความเป็นตัวของตัวเองแล้ว
ก็น่าจะมีการถ่ายเท
ความอ่อนโยน..ความเอาใจใส่..
และดูแลซึ่งกันและกันพ่วงไปด้วย

ฉันอยากให้คนที่รักกัน..
มองอีกฝ่ายว่าเป็น "คนพิเศษ"
เพราะน้อยคนนักที่จะเกิดมาให้เรารักได้อย่างนี้
สิ่งที่ปฏิบัติต่อกัน
ก็ควรจะมีความพิเศษ...เหนือคนอื่น
พิเศษทั้งการให้และการรับ
เป็นความพิเศษที่ทำให้หัวใจทั้งสองฝ่ายอิ่มเอม



แล้วลองตอบคำถามซิว่า...
ระหว่างคนแปลกหน้ากับคนพิเศษ
เรามองหาใคร

ระวังเมื่อคุณพิมพ์ผิด

> >>          ระวังเมื่อคุณพิมพ์ผิด
> >>
> >>
> >>
> >>" เห็นผู้ชายที่ชอบนั่ง ไข่ห่าง แล้วรู้สึกยังไงคะ"
> >>
> >>" เห็นผู้ชายที่ชอบนั่ง ไข่ห่าง แล้วไม่ค่อยรู้สึกอะไรคะ
> >>แต่ส่วนตัวดิฉันไม่ชอบแบบ นั้งหอยลง แล้วสั่นๆ ทำให้ดูเสียบุคลิก"
> >>
> >>" ลูกชายผมสองขวบมี ไข่ สูงมากให้กินพาราได้ไหม ขอคำตอบด่วนครับ"
> >>
> >>" แฟนเป็นคน เสียว ดังมากครับ ผมอายคนอื่นเค้า
> >>ผมจะเตือนเธอยังไงดีครับ"
> >>
> >>" กลุ้มใจจัง แฟนเราเป็นคนแข็ง เชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่ค่อยจะ
> >>อม ใครง่ายๆ"
> >>
> >>
> >>" มีพี่ที่ทำงานคนนึงเพิ่งเข้ามาทำงาน
> >>เธอเป็นลูกน้องผมแต่อายุแก่กว่าผมมาก
> >>ผมจะ สอย
>เธอยังไงดีครับถึงจะไม่น่าเกลียด"
> >>
> >>" สามีมีปัญหาในการนอนค่ะ เค้าชอบนอน หนุนหมอยนิ่มๆ
> >>ไม่ทราบว่าเพื่อนๆพอจะรู้จักยี่ห้อดีๆมั้ยคะ "
> >>
> >>" นศ หญิงสมัยนี้ทำไมชอบใส่เสื้อชายสั้นๆ
> >>แล้วปล่อยให้
> >>หอย ออกมาอยู่นอกกระโปรงกันนะ ไม่น่ารักเลย"
> >>
> >>" ถ้าง่วงก็ลองเคี้ยว หมาฝรั่ง ดูสิคะ เผื่อจะหาย"
> >>
> >>" ถ้าพิจารณา ความเสี่ยวแล้ว คาดว่าคุ้มถ้าลงทุนต่อไป"
> >>
> >>" เดือนหน้าดิฉันจะมีเพื่อนฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทย เค้าชอบช้างมากค่ะ
> >>ช่วยแนะนำทัวร์ที่มีโปรแกรม ขี้ช้าง ให้หน่อยได้มั้ยคะ"
> >>
> >>" เจอ รูแฟนเก่า ในโทรศัพท์มือถือแฟน หมายความเยี่ยงไร"
> >>
> >>
> >>" ผมหา ลึงค์ กระทู้ หมาฝรั่ง ไม่เจอแล้วสิ"
> >>
> >>" คอนเสิร์ตครบรอบ 20 ปี อัสนี-วสันต์ ครั้งนี้ มีแจก ปิ๊ มั้ยคะ "
> >>
> >>" ไปดูคอนเสริตอัสนี วสันต์ ได้ฟังเพลงได้อย่าง
>เสียวอย่าง
> >>หรือเปล่าคะ?????"
> >>
> >>" อยากไปเที่ยวท้องฟ้าจำลอง ที่ปิดไฟมืดๆแล้วฉายภาพดาวน่ะค่ะ
> >>ไม่ทราบว่าเข้าชมฟรี รึต้อง เสียตัว ด้วยรึป่าวคะ"
> >>
> >>" ข่าวดีค่ะ ปลื้มใจอยากบอกไปขยาย
> >>รู แต่งงานมาแล้ว ออกมาสวยมากๆ
> >>ขนาดแฟนเป็นคนไม่ค่อยพูด ยังออกปากชม ไม่รู้มาก่อนว่าดีแบบนี้ เพื่อนๆ
> >>ไปขยายที่ไหนกับบ้างค่ะ"
> >>
> >>" พี่ๆครับ ผมจะไปสอบใบขับ ขี้ พรุ่งนี้
> >>แต่ผมยังไม่ชำนาญเรื่องการถอยรถ เข้าซ่อง เลย
> >>ใครพอแนะนำเทคนิกได้บ้างครับ"
> >>
> >>" อาจารย์โลหการสีคะ ปีนี้ข้อสอบวิทย์จะ เน้นอก
> >>เรื่องอะไรคะ
> >>หนูจะได้เตรียม ตัวท้อง มาแต่เนิ่นๆ"
> >>
> >>" ลูกชายมีปัญหากับอาจารย์พละค่ะ ครูเขาบอกมาว่าชอบใช้ท่าเดิมๆ
> >>ให้เปลี่ยนท่าเมื่อไรชอบโมโห พุ่งลงมา น้ำแตก ทุกที
> >>แล้วอย่างนี้จะได้คะแนนดีเหรอค่ะ วัยรุ่นชอบดื้อ
>
> >>อุตส่าห์ส่งไปเรียนโดดน้ำ"
> >>
> >>" ถามเลขาค่ะ พานายฝรั่งไปไหนดี ไม่ชอบซิสเลอร์เลย
> >>วันก่อนไปกินกับนายฝรั่งหลายคน สั่งไส้กรอกรวม กินแล้ว เงียนมากๆ
> >>
> >>" ผมมีปัญหากับแฟนใหม่ของเธอครับ ไม่น่าคิดมากเลย
> >>แค่โทรเรียกเธอมาเจอเพราะอยาก
> >>เลียร์ ให้มันสบายทั้งสองฝ่าย"
> >>
> >>" ขอถามหน่อยค่ะ ใบพลูเดี๋ยวนี้หาซื้อได้ที่ไหน คุณยายข้างบ้านกินแต่
> >>หมาเปล่าๆ
> >>มานานแล้ว บอกว่าเคี้ยวไม่อร่อย"
> >>
> >>" อู๊ย..บาร์บีคิวพลาซ่าก็เป็นค่ะ...ปล่อยให้ หอย เราแห้งคาที่เลย
> >>ไม่ยอมยกออกซ่ะที รอแล้วรออีก เห็นเข้ามาทีละสองสามคน"
> >>
> >>" หนูแอบชอบเค้าอยู่ ทำไงหนูถึงจะได้ รูถ่าย ของเค้าคะ"
> >>
> >>" แถวสีพระยามีร้านอัด
> >>รู ดีๆมั้ยครับ ผมอยากอัด รู น้องฟิล์ม อ้อ แล้ว รูขนาด
> >>4" x 6" นี่จะเล็กไปมั้ยครับ"
> >>
> >>" ถ้าจะว่าเรื่องฝีมือ
>ข้าวคลุบกับปิ๊แฟนเก่า ผมนี่ที่หนึ่งเลย
> >>ฝีมือระดับชาววัง ไม่แฉะ ไม่เหม็น ไม่เค็ม"
> >>
> >>" จะไปเชียงใหม่ค่ะ หนุ่มคนเมืองที่ไหนพอแนะนำได้บ้างคะ อยากถามว่า
> >>ขนมจีนน้ำเจี๊ยว ที่ไหนอร่อยถึงใจบ้าง"

ดาราสาววัยรุ่นผู้มีไหวพริบ ..ถูกข่มขืน

เป็นข่าวหน้าหนังสือพิมพ์...ว่า...ดาราวัยรุ่นผู้มีไหวพริบ
ปฏิภาณดีมากคนหนึ่ง..ถูกข่มขืนขณะเดินเข้า
บ้านในซอยเปลี่ยว..ยามค่ำคืน...

ปวีณา : ทำไมถึงกลับบ้านดึกดื่นล่ะจ๊ะหนู... ? แล้วหนูกลับบ้านยังไง .?

ดาราสาว :
มีดาราหนุ่มรุ่นพี่มาส่งค่ะ...แต่ด้วยไหวพริบของหนูหนูสังเกตว่าเขาเป็นคนขี้หลี...ถ้าให้รู้จักบ้านก็จะตามมาตื้อจนรำคาญ
จึงให้ส่ง แค่ปากซอย...แล้วหนู เดินเข้ามา

ปวีณา :แล้วเกิดอะไรขึ้น...?

ดาราสาว
:มีผู้ชายคนหนึ่ง..รูปร่างสูงใหญ่..ล่ำสัน.มีอาการเมาเล็กน้อยเดินตามหนูมา..ด้วยไหวพริบ
ของหนู..หนูรู้ได้เลยว่าไม่ได้มาดีแน่...

ปวีณา : แล้วยังไงต่อจ๊ะ... ?

ดาราสาว
:หนูตัดสินใจออกวิ่ง..แต่ชายคนนั้นก็วิ่งตามทันที..ด้วยไหวพริบหนูรู้ว่าวิ่งยังไงก็คงไม่เร็วกว่าผู้ชายอยู่ดียังไงเขาก็ต้องตามทัน..และใช้กำลังแน่นอน

ปวีณา : ยังไงต่อจ๊ะ.. . ?

ดาราสาว :ด้วยไหวพริบของหนู..หนูตัดสินใจหยุดวิ่ง..เพื่อไม่ให้ต้องเจ็บตัวหนู
ตัดสินใจ เจรจาต่อรอง....

ปวีณา : ผลการเจรจาเป็นอย่างไรจ๊ะ. ?

ดาราสาว :หนูบอกเขาว่า..ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องใช้กำลัง..
ไม่เกิดผลดีต่อทั้งสอง ฝ่าย.. หนูยินยอม ทำตามที่ เขาต้องการ...

ปวีณา :เรื่องเป็นอย่างไรต่อจากนั้น... ?

ดาราสาว :ด้วยไหวพริบของหนู...หนูชวนเขาเข้าไปในซอกตึกลับตาคน
แล้วต่างคนต่างถอดเสื้อผ้าของตัวเอง
หนูถกกระโปรงขึ้นมาเหนือเอว.ส่วนเขาปลดกางเกงตกลงมากรอมเท้า

ปวีณา : เรื่องเป็นยังไงต่อจ๊ะ... ?

ดาราสาว
:ลองใช้ไหวพริบคิดดูสิ..ว่า.ชายที่รูดกางเกงลงไปกองที่ตาตุ่ม..กับหญิงสาวที่ถกกระโปรงขึ้นเหนือเอว...ใครจะวิ่งเร็วกว่ากัน...?


ปวีณา : แต่อย่างน้อยเค้าก็เห็นของลับหนู??

ดาราสาว : ด้วยไหวพริบ? หนูก็ไม่ยอมเสียเปรียบหรอกค่ะ
หนูใช้ก็เวลาครู่หนึ่งเพื่อจ้องดูของเขาเหมือนกันก่อนวิ่งหนี??

ปวีณา : (ทำหน้าเอ๋อ)?????....แล้วหนูรู้สึกยังล่ะค่ะ ??

ดาราสาว : เสียดาย????

บันทึกสุดท้ายของ ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร (อภิวัฒน์ วัฒนางกูร)

บันทึกสุดท้ายของ ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร (อภิวัฒน์ วัฒนางกูร)
>>>> บันทึกสุดท้ายของ ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร (อภิวัฒน์ วัฒนางกูร)
>>>>
>>>> จากนิตยสารรายเดือน จีเอ็ม ฉบับเดือน พฤษภาคม 2549 หน้า232-233
>>>>
>>>> 1)ตอนที่ผมไปเรียนต่อต่างประเทศ เราจะกลัวไปหมดทุกเรื่อง
>>>> แต่คุณแม่เขียนจดหมายมาสอนผมว่า อย่ากลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น
>>>> เพราะถ้าเราไปตั้งท่ากลัวเสียก่อน
>>>> มันก็จะไม่เกิดสติปัญญาที่จะไปแก้ไขปัญหา สู้เราทำตัวสบาย ๆ
>>>> แล้วแก้ไขปัญหาไปตามธรรมชาติจะดีกว่า
>>>>
>>>> 2)คนไทยเราเรียนปริญญาโทเพราะคิดว่าเรียน ๆ ไปเถอะ
>>>> เราแยกเอาการเรียนรู้และชีวิตออกจากกัน
>>>> เชื่อแต่ว่าพอจบการศึกษาแล้วค่อยใช้ชีวิต
>>>> แต่ในต่างประเทศการเรียนรู้เป็นการกระทำที่ต่อเนื่อง
>>>> มันเป็นสิ่งที่เคียงคู่กับการใช้ชีวิต
>>>>
>>>> 3)คุณพ่อ-คุณแม่ผมเป็นคนที่เชื่อมั่นในการศึกษา
>>>> การศึกษาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมีใครขโมยไปได้
>>>> การศึกษาเป็นทรัพย์สินที่ต่อเนื่อง
>>>> คุณพ่อ-คุณแม่จึงพยายามทุกวิถีทางให้ผมมีการศึกษาที่ดี
>>>> ยอมขายที่นาเพื่อให้สามารถส่งเสียผมไปเรียนได้
>>>> ทุกครั้งที่เห็นเด็กไม่สนใจการเรียน ผมจะรู้สึกเศร้าใจมาก ๆ
>>>> หากมีโอกาสได้ทำบุญ ผมจะเลือกทำบุญกับโอกาสทางการศึกษาของเด็ก
>>>>
>>>> 4)การที่คนเราจะมองหาจุดมุ่งหมายของชีวิตให้เจอ มันเกิดขึ้นต่างรูปแบบกัน
>>>> ต้องถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เราอยากจะทำที่สุดในชีวิตกันแน่
>>>> ผมเชื่อว่าทุกคนต้องหาให้เจอ ไม่ช้าก็เร็ว
>>>> เราจะได้มีพลังขับเคลื่อนให้ไปถึงจุดมุ่งหมาย
>>>>
>>>> 5)ผมคร่ำเคร่งกับการเรียนเพราะเป็นสิ่งที่เราไปอยู่ตรงนั้นเพื่อที่จะทำมัน
>>>> เราไม่ได้ไปอเมริกาเพื่อท่องเที่ยว เราไปเพื่อศึกษา
>>>> อย่าลืมว่าผมทำงานไปด้วย
>>>> เพราะฉะนั้นผมไม่ได้พลาดโอกาสที่จะเรียนรู้ชีวิตในอีกแบบหนึ่ง
>>>> ในขณะเดียวกันผมก็ไม่พลาดโอกาสที่จะเปิดหูเปิดตาไปท่องเที่ยว
>>>> ผมคิดว่าชีวิตผมค่อนข้างจะรอบด้าน
>>>> ได้ศึ่กษาทั้งวิชาการและทำงานแบบผู้ใช้แรงงาน
>>>>
>>>> 6)มองย้อนหลับไป ผมจะเลือกเงินหรือชีวิตเหรอ? ก็ผมนี่ไง
>>>> ผมเป็นตัวอย่างของคนที่มุ่งหน้าหาเงิน
>>>> เพราะว่าผมมีแผนการในชีวิตมากมายที่ต้องสร้างสมเอาไว้เพื่อครอบครัว
>>>> มันไม่ถึงกับลืมใช้ชีวิตหรอก แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้ชีวิตมากกว่า
>>>> ที่สุดแล้วมันก็นำพาซึ่งความเจ็บป่วย
>>>> ที่สุดแล้วผมก็หาเงินตามจุดมุ่งหมายได้ไม่มากเท่าที่ควร
>>>> เราบอกว่าเราจะทำงานสัก 20 ปี แต่ว่าโอกาสของเรามีแค่ 10 ปี
>>>> เพราะหลังจากที่ตรากตรำทำงานมาหนัก ร่างกายบอกว่ามันทำได้แค่นี้
>>>> เพราะฉะนั้นก็ลงเอยด้วยการที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน
>>>>
>>>> 7)ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงเลือกทั้งเงินและชีวิต
>>>> เพราะว่าเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินก็ยังเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิต
>>>> แต่ว่ามันไม่ใช่สรณะ ผมเลือกที่จะกระจายการทำงาน
>>>> กระจายความทุ่มเทนั้นออกไป เพื่อให้สามารถทำงานได้นานมากขึ้น
>>>> และตัวผมเองสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นาน ๆ
>>>>
>>>> 8)ความทรงจำที่มีค่ามากสำหรับผม มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเล็ก ๆ
>>>> ที่ผมอยู่กับตัวเอง
>>>>
>>>> 9)ผมเคยเขียนการ์ดเล็ก ๆ ให้ภรรยา สรุปความได้ว่า
>>>> เวลาที่คนสองคนเดินไปบนชายหาด
>>>> ตอนที่เราหันกลับมามองก็จะเห็นเป็นรอยเท้าเล็ก ๆ 2 คู่ เดินไปเดินมา
>>>> ทำไมเราจึงเห็นรอยเท้าเหลืออยู่แค่คู่เดียวล่ะ อีกคนหนึ่งหายไปไหนหรือ
>>>> คำตอบคือไม่มีใครหายไปไหนหรอก แต่อีกคนกำลังอุ้มอีกคนหนึ่งเอาไว้
>>>> ผมหมายถึงตัวผมอุ้มเขาอยู่
>>>> เป็นคำมั่นสัญญาว่าผมจะดูแลเขาไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
>>>>
>>>> 10)ครั้งหนึ่งที่ผมฟังดุริยมนตราซึ่งเป็นเสียงสวดมนต์ที่ประกอบไปกับดนตรี
>>>> ผมฟังแล้วผมร้องไห้มาก แล้วกอกกับตัวเองว่าถ้าชีวิตผมจะหาไม่จริง ๆ
>>>> ด้วยอาการเจ็บป่วยนี้ ผมอยากจะบอกคุณพ่อกับคุณแม่ว่า
>>>> ผมได้คุณพ่อกับคุณแม่ที่ประเสริฐที่สุด
>>>> ไม่ใช่แค่เลี้ยงดูสั่งสอนให้แนวทางชีวิตในยามที่ผมปกติดีอยู่
>>>> แต่ในยามเจ็บป่วยคุณพ่อ-คุณแม่ไม่เคยห่าง มาหาผมที่โรงพยาบาลทุกวัน
>>>> อยากให้ท่านได้รู้ว่าผมมีคุณพ่อ-คุณแม่ที่ผมไม่สามารถเรียกร้องหาได้ดีกว่านี้จากที่ไหน
>>>>
>>>> 11)ในความเป็นพ่อ ผมให้คะแนนความพยายามมากกว่าผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้น
>>>> ผมคิดว่าคะแนนความพยายามของผมที่ 80
>>>> มันไม่เต็มร้อยหรอกครับเพราะมีข้อจำกัดเรื่องเวลา แต่ลูก ๆ
>>>> มีแกนกลางคือเขามีแม่ที่ดี เพราะฉะนั้นลูก ๆ จะไม่เคยรู้สึกว่าขาดพ่อ
>>>> เพราะว่าแม่ทดแทนได้หมด
>>>> แม่ไม่ใช่เพียงแค่คนที่พยายามรักษาความสมดุลในครอบครัว
>>>> แต่เขาเป็นศูนย์กลางของจักรวาลในครอบครัวเรา นี่ไม่ใช่การถ่อมตน
>>>> แต่เป็นการพูดในความรู้สึกที่แท้จริง เขาเป็นดวงใจของเราทุกคน ให้กลับกัน
>>>> ผมไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าผมทำได้
>>>> เพราะว่าผมอาจจะถนัดเรื่องจัดหามากกว่าการดูแล ใครอยากได้อะไรผมจะหามาให้
>>>> ขอแค่ให้รู้เถอะไม่ต้องเอ่ยปากหรอกผมจะไปหามาให้
>>>>
>>>> 12)ชีวิตผมไม่มีอะไรนอกจากบริษัท เจเอสแอลและครอบครัว ผมมีแค่นี้
>>>> ผมไม่มีอย่างอื่นอีกแล้ว
>>>>
>>>> 13)การเป็นพ่อเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ต้องใช้อะไรเป็นพิเศษ
>>>> ไปมากกว่าความรักทั้งหมด ผมเคยเซ็นหนังสือให้ลูกว่า "สำหรับน้องเพชร
>>>> ด้วยความรักทั้งหมดในหัวใจพ่อ" ถ้าคุณรักลูก
>>>> คุณก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างกับเขา
>>>> และตรงนี้ต่างหากที่เพิ่มเติมมาด้วยสติปัญญา
>>>> พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะมีเวลาอยู่ด้วยกัน
>>>> เรียนรู้ถึงความต้องการและความฝันของเขา
>>>> แต่บางครั้งลูกก็ไม่ได้อยากอยู่กับเราเสมอไป เขาอาจจะมีธุระอื่น
>>>> ฉะนั้นความรักและความเข้าใจจะต้องมาเป็นอันดับต้น เลย
>>>> เราต้องพยายามหาหนทางละมุนละไมที่จะโอบแขนของเขาเข้าไปอยู่ในชีวิตของเขาให้ได้
>>>>
>>>> 14)ผมไม่ขอเปรียบเทียบชีวิตการเป็นพิธีกรของผมกับคนอื่น ๆ
>>>> ตอนที่ทำรายการจันทร์กะพริบใหม่ ๆ ผมจบดอกเตอร์มา
>>>> มันยิ่งสร้างความคาดหวังว่าจะทำอะไรดี ๆ ได้อีกเยอะ
>>>> ต้องศึกษาหาความรู้เยอะ
>>>> อ่านประวัติของแขกรับเชิญมาล่วงหน้าซึ่งจะทำให้เราไม่รู้สึกห่างไกลจากเขา
>>>> รายการจันทร์กะพริบเป็นงานที่ยาก ผมใช้เวลากว่า ๒ ปีจึงจะหาตัวเองพบ
>>>> ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าการเป็นพิธีกรมันคือการแสดง ในเมื่อมันคือกาแสดง
>>>> อะไรล่ะคือบุคลิกภาพจริง ๆของเรา เวลาที่เราขอคำแนะนำจากใคร 10 คน
>>>> เราจะได้คำตอบ 10 อย่าง
>>>> เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว่าที่สุดแล้วผมเชื่อตัวเองอีกว่า
>>>> ผมไม่ใช่คนถามจาบจ้วงหรืออยากให้เฮฮากว่านี้ ผมว่าไม่ใช่ผม
>>>> ผมเป็นคนที่ให้เกียรติคน เป็นคนที่มีบุคลิกพูดง่าย ๆ
>>>> ว่านุ่มนิ่มบางทีมันเป็นจุดอ่อน แต่เราต้องพัฒนาให้เป็นจุดแข็งให้ได้
>>>> เอาความอ่อนโยนมาเป็นเสน่ห์
>>>> เอาความนุ่มนิ่มมาเป็นวิธีการถามคำถามทำให้เกิดความอบอุ่นขึ้น
>>>>
>>>> 15)ครั้งแรกที่ผมสัมภาษณ์ ทอดด์ ทองดี เขาบอกว่ายูรู้ไหม
>>>> ว่าการที่ยืนอยู่ด้วยกันบนเวที มันมีไออุ่นของคนที่อยู่ใกล้กัน
>>>> เขาไม่รู้สึกอบอุ่นแบบนี้กับใครเท่าที่ยืนอยู่ใกล้ผม
>>>> ผมมีความรู้สึกว่านั่นแหละคือการที่เราหาตัวเองเจอ
>>>> ธรรมชาติของผมคือเป็นผู้ชายที่อบอุ่นนั่นเอง
>>>>
>>>> 16)ทุกวันนี้ผมดูทีวีได้ไม่นาน เพราะว่าเสียงมันดังเกินไป
>>>> รายการโทรทัศน์น่าจะมีความนุ่มนวลแล้วค่อยทะยานขึ้นไปถึงความตื่นเต้น
>>>> แต่ทุกวันนี้มันมีแต่ความเปรี้ยงปร้าง อาจเป็นเพราะว่าการแข่งขันมันสูง
>>>> พิธีกรต้องขุดมุกมาใช้เพื่อให้ได้ชื่อว่าสามารถสร้างเสียงฮาได้ตลอดเวลา
>>>> ซึ่งผมคงสอบตกในกรณีนี้ แต่ผมเชื่อว่าความแพรวพราวมันมีได้หลายลักษณะ
>>>> เช่นยิงคำถามแพรวพราวก็ได้ หรือบางทีเขาตอบอะไรมา
>>>> เราอาจจะแสดงความคิดเห็นอะไรกลับไป เป็นความแพรวพราวตรงนี้ก็ได้
>>>> ไม่จำเป็นต้องมีมุกตลอดเวลา
>>>>
>>>> 17)การเป็นพิธีกรคือโอาสที่ได้เรียนรู้ชีวิตของคน
>>>> ได้แบบเรียนชีวิตโดยไม่ต้องซื้อหามา
>>>> เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่ไม่มีอะไรทดแทนได้
>>>> ผมเรียนรู้ชีวิตของชีวิตของผู้อื่น ผมได้ค้นพบว่าชีวิตไม่มีความแน่นอน
>>>> เราต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง
>>>> ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าและในยามที่เรายังมีลมหายใจอยู่
>>>> เราน่าจะได้ใช้โอกาสนั้นทำความดี เป็นสิ่งที่เราจะทิ้งไว้ในโลกนี้
>>>> มันเป็นมรดกของมนุษยชาติอย่างหนึ่งและคนอื่น อาจจะเรียนรู้ได้ในภายหลัง
>>>>
>>>> 18)การมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก เราทำให้ห้วงชีวิตเป็นอะไรก็ได้
>>>> เป็นหนึ่งชีวิตที่เต็มไปด้วยคุณค่าหรือเราทำหนึ่งชีวิตของเราให้เป็นหนึ่งชีวิตที่สร้างความทุกข์ใจให้กับใครสักคนหนึ่งไปตลอดชีวิตก็ได้
>>>> ความยิ่งใหญ่ของชีวิตอยู่ที่ว่าเราจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร
>>>>
>>>> 19)ผมไม่รู้ว่าจำนวนของคนที่เห็นแก่ตัวบนโลกนี้มีเท่าไหร่
>>>> แต่ผมว่าความเห็นแก่ตัวมันเกิดขึ้นได้กับทุก ๆ คนแหละ
>>>> มันคือการชั่งน้ำหนักในสิ่งที่เราจะทำ จริง ๆ
>>>> แล้วก็คงเหมือนกับที่เขาพูดกันว่า ไม่ต้องเป็นคนดีเท่าไหร่หรอก
>>>> ขอแค่เป็นคนเลวน้อยที่สุดก็พอแล้ว
>>>>
>>>> 20)ความกตัญญูรู้คุณคนเป็นสิ่งที่ผมยึดถือเป็นหลักประจำใจ
>>>> คนเราถ้าไม่รู้จักรู้พระคุณคน
>>>> มันทำให้เราหลงลืมไปว่าเรามีชีวิตอยู่ทุกวันได้เพราะอะไร
>>>> คนที่เขาให้เรามาบางทีเขาไม่ได้จดจำเพราะมั่นเป็นการให้ที่แท้จริง
>>>> แต่การที่เราได้รับนั้นหมายถึงการได้ส่วนบุญที่ดีมา
>>>> มันเปลี่ยนชีวิตเรามากเพียงพอที่เราควรจะจดจำว่าเรามาถึงฝั่งฝันนี้ได้อ่างไร
>>>> มีใครบ้างที่ช่วยพยุงเรา ขณะ
>>>> ที่เราว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรมา
>>>> การระลึกถึงพระคุณของคนเป็นสิ่งที่มนุษย์ประเสริฐเขาทำกัน
>>>>
>>>> 21)คนที่เป็นผู้ให้ ในชีวิตผมมีมากและผมไม่มีวันที่จะลืมได้เลย
>>>> ภรรยาผมเขาไม่เคยนึกถึงตัวเองเลย
>>>> เขานึกถึงแต่ว่าทำอย่างไรสามีเขาจึงจะหาย ผมเรียนเรื่องธรรมชาติบำบัด
>>>> ผมรู้สึกเอาเองว่าผมรับพลังดี ๆ จากธรรมชาติมาเยอะ
>>>> เรียนรู้ที่จะรับพลังธรรมชาติจากต้นไม้ ใบหญ้า ผมรับรู้ถึงความปรารถนาดี
>>>> ความหวังดีของคนจำนวนมาก คนเหล่านี้เป็นคนที่ผมไม่มีวันลืมไปจากชีวิตนี้
>>>> แล้วก็ขอเจอกันทุกชาติไป ผมคิดว่าถ้าผมจะหาย
>>>> ก็ได้ด้วยพลังรักที่เขามีต่อผม
>>>>
>>>> 22)ทุกวันนี้ผมมองทุกอย่างด้วยสายตาเป็นกลางมากขึ้น
>>>> ผมมองว่าถ้ามันจะเป็นความรู้สึกที่สุด ผมก็จะไม่ดีใจจนเกินเหตุ
>>>> หรือถ้ามันจะทุกข์นัก ผมก็จะไม่ทุกข์มาก ผมจะอยู่ตรงกลางด้วยความหวังว่า
>>>> วันของเราจะต้องมาถึง
>>>> เราได้ฟังเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับคนหลายคนที่เป็นมะเร็ง
>>>> ใจผมก็อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับผมบ้าง
>>>> เมื่อไหร่ปฏิหาริย์จะเกิดขึ้นกับผมสักที ผมท้อแท้บ้าง แต่ผมไม่ยอมแพ้พ่าย
>>>> ทำไมยังเจ็บปวด เศร้า ทุกขเวทนาอยู่เรื่อย แต่ผมปฏิเสธ
>>>> ที่จะตายไปกับโรคนี้
>>>> 23)ผมเสียใจอยู่ตลอดมาที่มีเวลาให้กับครอบครัวน้อยเกินไป อยากบอกลูกว่า
>>>> ถ้าพ่อเลือกได้ พ่อคงอยู่บ้านให้มากกว่านี้

Love you!!!

ความคิดสมัย ป.1

                เพื่อนที่ดีคือคนที่ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนคุณ แล้วก็จับมือคุณระหว่างเดินผ่านห้องโถงที่น่ากลัว

             

            ความคิดสมัย ป .2

            เพื่อนที่ดีคือคนที่ทำให้คุณเข้าเรียนคลาสที่ไม่อยากเรียน  ( มั้ง)

         

            ความคิดสมัย ป .3

               เพื่อนที่ดีคือคนที่แบ่งอาหารกลางวันให้คุณ เมื่อคุณลืมกล่องข้าวไว้ที่บ้าน = = ?

         

            ความคิดสมัย ป .4

               เพื่อนที่ดีคือคนที่ยอมเปลี่ยนคู่เต้นในวิชาลีลาศเมื่อคุณไม่อยากจับคู่เต้นอยู่กับนิกจอมลามก  หรือเอ็มกลิ่นแรง

         

             ความคิดสมัยป.5

เพื่อนที่ดีคือคนที่เผื่อที่นั่งให้คุณเมื่อถึงมื้อเที่ยง

           

            ความคิดสมัย ป .6

              เพื่อนที่ดีคือคนที่พาคุณไปหาคนที่คุณตกหลุมรัก เพื่อขอให้เค้ามาเต้นรำกับคุณ เผื่อว่าเค้าปฏิเสธคุณจะได้ไม่ต้องอายไง

           

            ความคิดสมัย ม .1

              เพื่อนที่ดีคือคนที่ให้คุณลอกรายงานสังคม

       

            ความคิดสมัย ม .2

เพื่อนที่ดีคือคนที่ช่วยคุณทำรายงานกลุ่มและไม่เคยนินทาคุณลับหลัง

         

            ความคิดสมัย ม .3

เพื่อนที่ดีคือคนที่เปนที่ปรึกษาปัญหาหัวใจให้คุณและอินกับคุณในทุกๆอารมณ์

         

            ความคิดสมัยม.4 คือ

คนที่ยอมเปลี่ยนวิชาเรียนเพื่อที่คุณจะได้มีเพื่อนนั่งกินข้าว

           

            ความคิดสมัย ม .5

เพื่อนที่ดีคือคนที่ยอมให้คุณขับรถใหม่ของเค้า ช่วยคุยกะพ่อแม่ของคุณเวลาคุณมีปัญหา

แล้วก็คอยปลอบคุณตอนที่คุณเลิกกับแฟน

         

            ความคิดตอน ม .6

เพื่อนที่ดีคือคนที่ช่วยคุณเลือกมหาวิทยาลัยที่จะเข้า

แถมยังช่วยคุยกับพ่อแม่ให้ยอมให้คุณไปเรียนมหาลัยนั้นอีกด้วย

ในงานจบการศึกษา เพื่อนที่ดีของคุณ คือคนที่ร้องไห้เงียบๆในใจ

แล้วก็แบ่งปันรอยยิ้มกว้างๆ ให้คุณ

             

           หน้าร้อนหลังจบ ม .6

เพื่อนที่ดีคือคนที่ช่วยคุณล้างขวดหลังงานปาร์ตี้

ช่วยคุณแอบย่องออกจากบ้านตอนที่คุณตกลงกับพ่อแม่ไม่ได้

ทำให้คุณกับแฟนกลับมาคบกันอีก

ช่วยคุณเก็บของเพื่อย้ายไปมหาลัย

แล้วก็กอดคุณอย่างเงียบๆ มองคุณด้วยแววตาที่ขุ่นมัวพร้อมกับ

ความทรงจำ 18 ปีที่ผ่านมา...... ให้กำลังใจคุณในทางที่คุณเลือกเดินเหมือน 18ปีที่ผ่านมา

และตอนนี้ เพื่อนที่ดี .... ยังคงเป็นคนที่ให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

จับมือของคุณเมื่อคุณกลัว

ช่วยคุณต่อสู้กับสิ่งที่พยายามเอาเปรียบคุณ                 

 คิดถึงคุณตลอดเวลาที่คุณไม่อยู่

เตือนคุณในสิ่งที่คุณลืม

ช่วยคุณผ่านอดีตแต่ก็เข้าใจเมื่อคุณอยากอยู่กับอดีตอีกซักนิด

อยู่กับคุณเพื่อให้คุณมีความมั่นใจ

หรือไปไกลๆ คุณซักพักเพื่อให้คุณได้มีเวลากับตัวเอง

ช่วยคุณแก้ไขความผิดพลาด

ช่วยคุณจัดการกับความกดดันทั้งหลาย

ยิ้มให้คุณเมื่อยามคุณเศร้า

ช่วยให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้น

และอย่างสำคัญที่สุด คือ คุณส่งความรู้สึกนี้

ให้เพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่

และเพื่อนที่อยู่กับคุณตลอด (ยังไม่ร้องไห้ใช่มั้ย? ยังมีต่ออีกนะ )



ขอบคุณสำหรับความเป็นเพื่อน ไม่ว่าเราจะไปถึงจุดไหน

หรือเรากลายเป็นอะไรจะไม่มีวันลืมคนที่ช่วยให้เราไปถึงจุดนั้น

ไม่มีการผิดเวลาที่จะโทรศัพท์ หรือส่งข้อความ

เพื่อบอกเพื่อนของคุณว่า คุณคิดถึงพวกเค้าขนาดไหน

หรือว่าคุณรักพวกเค้าขนาดไหน คุณรู้ว่าคุณเป็นใคร

ส่งความรู้สึกนี้ไปให้คนบางคนที่คุณอยากจะนึกถึง

ดังนั้น ส่งเมล์นี้ให้เพื่อนคุณทุกๆ คน  และรอคอยให้เค้าส่งกลับ

ถ้าคุณรักใครซักคน ก็บอกเค้าซะ                 

จำไว้เสมอเลยนะว่าพูดสิ่งที่คุณคิด สิ่งที่คุณหมายถึง

อย่ากลัวที่จะแสดงความรู้สึกของตัวเอง                   

ใช้โอกาสนี้ในการบอกใครซักคนที่มีความหมายกับคุณ

คว้าเอาไว้แล้วจะไม่เสียใจ

สิ่งสำคัญที่สุด อยู่ใกล้ๆ กับเพื่อนและครอบครัว

สำหรับการที่พวกเค้านั้นทำให้คุณกลายมาเป็นคุณในวันนี้

บอกความรู้สึกซะ

ให้เกิดความแตกต่างขึ้นในวันของคุณและเค้า

ความแตกต่างระหว่างการแสดงความรัก

และการเสียใจ คือ การเสียใจอาจจะอยู่ตลอดไป

ภายใน 1 ชม. คุณต้องส่งเมล์นี้ให้คนอื่น

เพื่อให้เค้าได้รู้ว่าเค้ามีความหมายสำหรับคุณนะ

ถ้าคุณกำลังยุ่งละก้อ.. คิดซะว่าใช้เวลาแค่ 2-3 นาทีเองน่า

..ที่จะบอกความรู้สึกนี้ออกไป มันจะดีกว่าเยอะเลยนะ ถ้าคุณส่งเมล์นี้ต่อไปน่ะ

เอาล่ะ ตกลงกันแล้วนะ ส่งเมล์นี้ต่อไปอย่างน้อย 10 คนภายในหนึ่งชม .

คนที่ห่วงใยคุณมอบความอบอุ่นให้คุณและความอบอุ่นนั้นก็มาจากการรักผู้อื่น

เซ็งเป็ด1

กรูไม่ช่ายเกย์....จะจีบทำม้ายยยยยยยยยยยยยยยยยย

.....เมิงขออะไรหน่อยได้มั๊ย......
......ขออะไร
......ขอหัวใจเมิงอ่ะ หัวใจตรูมันเรียกร้อง
แมร่งงงงงงง ประโยคพรรค์นี้ผมได้ยินบ่อยมากกกกกก
ได้ฟังที่ไรปวดไปถึงตับ จุกทุกที คิดได้ไง
เรื่องของเรื่องคือผมเป็นน้องใหม่ แล้วมันทำงานมาก่อน ทีนี้มันคงแอบชอบผมมั้ง
หน้าตาก็ดีทำไม๊ ทำไมไม่ไปเอาผู้หญิง ผมเคยถามมัน....มันบอก
กรูไม่ชอบตีฉิ่ง....ไอ้กร๊วก...
ทุกเช้าวันจันทร์ผมจะเจอน้ำเต้าหู้ตั้งอยู่บนโต๊ะ
เมื่อก่อนมันซื้อปาท่องโก๋ด้วย แต่พอผมบอกว่ากินปาท่องโก๋ทีไรนึกถึงแฟนทุกที
มันก็ไม่ซื้อมาให้เห็นอีกเลย
........ทำไมมันถึงคิดว่าผมจะชอบมันน่ะเหรอครับ มาดูเหตุผลมัน
1. ก็เมิง(มันเรียกผมว่าเมิง)เดินตูดบิดนี่หว่า
2.เครื่องประทินโฉมเมิงเยอะจัด
3.เมิงทิ้งแฟนเมิง แสดงว่าเมิงไม่ชอบผู้หญิง...(ที่จริงเค้าทิ้งผม)
4.ถึงเมิงจะเตะบอลแต่ เมิงเล่นบอลไม่เก่ง เมิงเล่นวอลเล่เก่งกว่า
5.เมิงไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่เหมือนตรู
6.ที่สำคัญตรูว่าชาติที่แล้วเมิงต้องเป็นเมียกรู
ไม่งั้นกรูไม่รู้สึกกับเมิงแบบนี้หรอก.......
คิดดูผมต้องทนกับคำพูดเล้าโลม เอ้ย แทะโลมแบบนี้เกือบทุกวัน
วันไหนมันอารมณ์ดี มันก็จะร้องเพลงออกมาให้ฮากันทั้งแผนก
" อาจเป็น.......เพราะเรา........คู่กันมาแต่ชาติไหน"
ชาติสุนัขสิว่ะ แมร่ง....ผมอายจนต้องสำรอกคำนี้ออกมาอ่ะ
คิดดูว่าผมต้องทนกับมันขนาดไหน
จริงมันเป็นเพื่อนที่ดีนะ แล้วผมก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นเกย์
และมันก็บอกเสมอว่า"เมิงว่ากรูเป็นเกย์อีกคำเดียว เมิงเป็นเมียกรูแน่คืนนี้"
ผมรีบเอาเข็มกับด้ายมาร้อนแล้วเย็บปากตัวเองทันที
....."ทำไมห้องเมิงสะอาดจังว่ะ" มันถาม ผมก็บอกว่าผมเป็นภูมิแพ้
มันก็บอกว่า"ก็ให้กรูมาอยู่ด้วยสิ กรูจะได้รับความทุกข์ไว้เอง"
คือบอกไม่ถูกมันจะพูดประมาณพี่แท่งอ่ะ
ผมว่าถ้าผมเป็นผู้หญิงผมคงว่ามันโคตรรรรรเสร่อเลยแหละครับ
แต่จะไปต่อล้อต่อเถีงกับมันมากไม่ได้ มันจะปล้ำเอาทุกที

มีอยู่ครั้งนึงออกไปทำงานไฟล์เดียวกันต้องขับรถออกไปด้วยกัน
และรอกว่าเครื่องจะลงก็ต้องนอนรอในรถ
อยู่ๆมันก็บอกว่า
"ถ้าเมิงเป็นผู้หญิง กรูว่าเมิงเอ๊กซ์น่าดู เมิงว่าเมิงจะนมใหญ่ป่าว"
"นมกรูใหญ่รึป่าวไม่รู้ แต่ถ้ากรูเป็นผู้หญิงแล้วเมิงคิดแบบนี้กับกรู
กรูจะเป็นทอม"
"ถึงเป็นทอมก็รัก" ผมอึ้ง แล้วก็อึ้ง ขนลุกซู่ๆ
...........................................................................
มันบอกว่า" เป็นไปได้มั๊ยที่คนเราไม่ใช่เกย์แต่จะชอบผู้ชายด้วยกัน"
ผมก็เลยย้อนถามมันไปว่า"แล้วผู้ชายที่ชอบผู้ชายเมิงเรียกอะไร"
มันบอก"เกย์"
แล้วก็มองหน้าผมบอกว่า "เดี๋ยวเถอะเมิง
เดี๋ยวโดนกรูยัดเยียดความเป็นผัวให้แล้วจะรู้สึก" แมร่ง คำนี้คือคำที่มันชอบขู่
ตอนแรกโกรธ หลังๆขำว่ะ
ผมพยายามถามว่าทำไมถึงไม่ไปจีบผู้หญิง
มันบอกว่าไม่รู้สิ มันก็ชอบผู้หญิงนะ ผู้ชายคนอื่นมันก็เฉยๆนะ แต่กับผม
พออยู่ใกล้แล้วมันเสียวซ่าน(มันใช้คำนี้จริงๆ พร้อมทำหน้าหื่น)
ตอนแรกผมนึกว่ามันล้อเล่น แต่หลังๆมันไปถึงบ้าน
ซื้อข้าวของไปฝากแม่ ที่เด็ดสุดเคยซื้อ นมตราหมีไปฝากแม่ แล้วบอกแม่ว่า "ให้แม่
เพื่อคนที่คุณรัก" แม่จะชอบมันมาก เพราะมันโคตรปะเหลาะ ชอบคุยกับแม่
สักพักก็บอกว่า ขอลูกแม่สักคนได้ป่าว แม่ก็บอกน้องนุ่นแม่ไม่ให้
เอาน้อง....(ผมเอง)ไปแทน เข้าทางมันเลยครับ บอกงั้นมันจะให้แม่มาขอ
ดูมันเลวววววว...
.....พอตกดึกมันจะขอนอนที่บ้าน มันบอกว่า" บ้านอ้อย รกจะตายยยย"
ผมต้องขู่มันอ่ะ ว่าถ้ามันไม่กลับไปบ้าน ผมจะไม่ให้มาที่บ้านอีก
มันถึงยอม.........

เคยมีครั้งนึงเมื่อตอน เมษา ผมกลับบ้าน มันกลับบ้าน มันโทรมาบอกว่า
" หวัดดี เมิงรู้ป่าวกรูอยู่ไหน"
มันเพิ่งส่ง ข้อความาบอกผมว่าตอนนี้มันอยู่ยุดยาแล้วเมื่อ 5 นาทีก่อน
"ไม่รู้ อยู่หนาย"
"กรูว่าแล้ว แมร่งเมิงไม่เคยสนใจกรู ไอ้เอี้ย"แล้วมันก็วางไป
มันคงคิดว่าผมจะโทรไปง้อ
....................................................................
..................................................................
20นาทีผ่านไป....มันโทรมา บอกว่าทำไมผมไม่โทรหามัน
ผมบอกไปว่าโทรหาทำไม มันก็บอกว่าก็แฟนกันเค้าต้องห่วงใยกันสิไอสาดดดดด
แล้วก็หัวเราะๆแหะๆ คุยตามเรื่องตามราวของมันไป.....
.......มีอยู่ช่วงนึงผมโคตรรำคาญมันมาก ผมบอกว่า "ให้ตายกรูก็ไม่เอาเมิงหรอก
เลิกยุ่งกับกรูซะที" มันก็หง๋อยนะ แล้วก็ไม่คุยกับผมอีกเลย
จนผมเองรู้สึกผิดน่ะแหละ เพราะช่วงนั้นมันเหมือนคนอกหักซึ่งความรู้สึกผมคือ
เมิงเป็นอะไร ทำไมต้องกินเหล้า ทำไมต้องไม่มาทำงาน ทำไมไม่มองหน้าไม่คุยกับกรู
อกหักเพราะกรูเนี๊ยะนะ กรูเป็นเมียเมิงตั้งแต่เมื่อไหร่ จนหลังๆมันโทรมครับ
เหมือนอาตี๋ติดยา ผมทนสภาพมันไม่ไหวก็ ไปหามันที่บ้าน ไปคุยกับมัน

ตอนแรกมันไม่ยอมเปิดประตูครับ เคาะกันข้อมือแดง หลังๆไม่ไหว
ใช้ถีบ....จนสุดท้ายต้องบอกว่า...อ้าว ไม่อยู่เหรอ...งั้นกรูไปหล่ะ
....ยังไม่ทันหันหลังเลย ประตูเปิดผ่าง เกือบโดนหน้า "แมร่ง
เมิงจะเล่นตัวทำเอี้ยอาราย เมิงดูข้อนิ้วก็แดงหมดแล้ว" "ก็เมิงไม่บอกว่าใคร
กรูนึกว่าเป็นไอ้เติ้ลมาทวงค่าบอลกรู(ช่วงนั้นบอลโลกฟีเวอร์) โธ่
ไอ้เราก็นึกว่าเล่นตัวที่แท้เอือกหนีเจ้าหนี้
....มันบอกให้ผมเข้าห้องมัน ผมชะโงกหน้าเข้าไปดู
พลางใช้วิจารณญาณตรึกตรองและใคร่ครวญ เอามือกอดอกแล้วเกาคาง "อืม
บ้านอ้อยนี่รกจะตายจริงๆ" ผมแกล้งเฉไฉ เพื่อจะได้ไม่ต้องเข้าห้องมัน
เพราะคิดว่าถ้าก้าวเท้าเข้าไป ขากลับมีหวังได้เดินขาถ่างแน่นอ
ซึ่งคาดว่าไม่ดีแน่
" ไม่ต้องกลัวกรูปล้ำเมิงหรอก" มันรู้ทัน
"กรูรู้ว่ากรูทำให้เมิงรำคาญ เพราะกรูก็รำคาญตัวเองเหมือนกันที่ทำกับเมิงแบบนี้
แต่กรูไม่เคยทำแบบนี้กับใครนะ เมิงเข้าใจป่าว"
ผมพยักหน้า สายตาจับจ้องไปที่มือที่มันไขว้หลัง
เพราะยังระแวงกลัวจะโดนลากเข้าห้อง
แรงชายอย่างผมจะไปสู้แรงความอย่างมันได้เยี่ยงไร
"แต่กรูคิดแล้วนะ ว่าต่อไปกรูจะไม่ทำอย่างนี้อีก
เมิงเป็นเหมือนเดิมกับกรูได้มั๊ยวะ"
ผมบอกได้" แต่เมิงต้องสัญญากับกรูก่อนนะว่า เมิงจะไม่คิดอะไร เอี๊ยๆกับกรูอีก
กรูกลัวอ่ะ"
มันบอก" เมิงนึกว่ากรูไม่กลัวตัวเองเหรอ
กรูว่าคนที่เค้าอ่านในพันทิพย์ต้องหาว่ากรูโรคจิตแน่ๆ(อันนี้เติมเอง อิๆ)
ผมพามันไปกินข้าวเพราะเห็นว่ามันเริ่มผอมแล้ว คาดว่ามันต้องแ**กเหล้าแทนน้ำ
เล่นกามแทนกินข้าวแน่นอน

"เมิงห่วงกรูมั่งป่าว"
"ห่วงดิ เมิงรู้ป่าว พี่เต้ย(โทษนะพี่เต้ยที่เอาชื่อมาใช้
เพราะพี่นั่นแหละตัวดี ยุดีนัก) เค้าคิดจะเอาเมิงออกแล้วเพราะเมิงกินแรงคนอื่น"
"ห่วงกรูจริงๆอ่ะ" สายกรุ้มกริ่ม ยังกะเห็นผมเป็นเด็กนั่งดริ๊งค์
" ป่าว กรูล้อเล่น" แล้วผมก็ลุกไปซื้อน้ำ กลับมาเห็นมันนั่งยิ้ม
คงอารมณ์ดีแล้วหล่ะมั้ง ผมก็เลยนั่งเป็นเพื่อนมัน
สักพักเสียงโทรศัพท์ดัง ไม่โชว์ชื่อ มันก็รับ
...คุยสักพักหน้าซีดเป็นตูดเด็ก
"ไอ่ ชะลอรีเอ่ะ โทรมา ทวงค่าบอลกรู" เพื่อนมันชื่อชลอ แต่มันเรียก ชะลอรีเอ่ะ
เพื่อนมันได้ยินคงชอบชื่อนี้นะ หวังว่า.....
"กรูยื้มตังส์เมิงก่อนได้ป่าว" ว่าแล้วต้องมาแนวนี้
ตอนนั้นผมคิดว่ามันคงยืมแล้วเชิดหนีแน่ๆ
ในห้วงแห่งมโนธรรมนั้นเองก็เลยคิดแผนกำจัดมันออกไปจากชีวิตได้
คือ......การให้มันยืมเงิน แล้วถ้ามันเชิดเงินจริงๆ ผมก็จะทำเป็นโกรธ
แล้วก็หาเรื่องให้มันออกไปจากชีวิตได้ซะที ว้าอ่าๆๆๆๆ ล้ำเลิศๆ
"จะเอาเท่าไหร่" มันทำหน้างง
เพราะปกติไม่เคยให้ใครยืมเงินแม้แต่หัวหน้าที่เงินเดือนเยอะกว่าผม
"ซะๆ สาม พะ พัน" จะตะกุกตะกักไปทำไม 3พันจ้างให้เมิงออกไปจากชีวิตกรู
กรูว่าคุ้มแล้ว จ้างมือปืนแมร่งเป็นหมื่น ผมคิดในใจ
ผมไม่ลังเลควักให้มันไปทันที มันบอกว่ามะรืนวันพุธใช่มั๊ย เดี๋ยวมันหามาคืน
ผมบอก เออ แล้วก็ขอตัวกลับ มันอาสาออกมาส่งหน้าปากซอย ผมบอกว่าไม่ต้อง
มันบอก"ไม่ได้ ถ้าเมิงเป็นอะไรไปกรูต้องเสียใจไปตลอดชีวิต" เออ กรูซึ้งอย่างแรง
ไอ่โกโบริ