วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563

คำถาม...ที่ยังคงต้องการคำตอบ

เพราะอะไร

เหตุใดเราเลิกกัน.....


คำถามสั้นๆ แต่การรอคำตอบนั้นยาวนานเหลือเกิน

จริงๆ แล้วการรอคำตอบนาน ....มันก็เท่ากับการรักษาระยะห่าง

วันหนึ่งที่จะถาม...มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะถาม...และไม่มีประโยชน์ใดๆ ที่จะตอบ


ณ ห้วงเวลาแห่งความรู้สึก
ทำไม..คนบางคนเลือกที่จะเก็บคำพูด...บางคำไว้กับตัว

ไว้เก็บก็เสียของ....พูดไปก็เสียใจ

ความสมดุลของคำพูด..อย่างไหนนะที่มันดีกว่ากัน




วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2563

แคชเชียร์และพนักงานบัญชี อาชีพที่กำลังหายไป

เมื่อสมัย 20 ปีก่อน

อาชีพที่ถูกเคี่ยวเข็ญและรับประกันว่าไม่ตกงาน คงหนีไม่พ้นอาชีพบัญชี

อนิจจา ความทันสมัยของโลกเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า
ทำให้อาชีพของนักบัญชี ไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป


แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางปรับปรุงตน

ในเมื่อโลกก้าวหน้า มีการติดต่อค้าขายกันข้ามประเทศมากขึ้น
เพราะฉนั้นเรื่องกฏหมายและการแลกเปลี่ยนสกุลเงินเป็นสำคัญ

อาชีพที่จะเกินใหม่ในอีกสิบปีข้างหน้า
หนึ่งในอาชีพนั้นคงหนีไม่พ้น #อาชีพที่ปรึกษาสกุลเงินติจิทัล

โลกหมุนไวเราก็แค่หมุนตาม







วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ตรัง-กรุงเทพ

ขอบคุณ เพื่อนคนพิเศษ ที่ดูแลตลอดการเดินทาง
 นึกย้อนเหตุการณ์วันนั้น ยังมึน ๆ เอียง ๆ อยู่ 

ตั้งใจมาเที่ยวแบบสบาย ๆ แต่ไม่ได้อยากรบกวนอะไร เลยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า
มาถึงแล้วก็ยังละล้าละลังว่าจะโทรหาดีมั้ย  แต่ วินาทีนี้ อยู่ตรงนี้แล้ว 
เลยรวบรวมความกล้า โทรหาอีกที คนเซอร์ไพรส์มักจะเจอเซอร์ไพรส์กว่าเสมอ 

เสียงน่ารักต่อว่า ถ้าไม่มาตรังจะไม่โทรหาใช่มั้ย 
แฮร่ ก็เกรงใจนี่ค่ะ 
เราคุยกันอีกนิดหน่อย แอดไลน์กันไว้ เป็นสัญญาลักษณ์ว่า ได้รู้จักกันแล้ว

....
คนใจดี ก็ยังเป็นคนใจดี  คนดูแลห่วงใยตลอดการเดินทาง ทั้งตรังและสงขลา
แอบเป็นไกด์เล็ก ๆ ให้ในระหว่างทางที่เดิน แนะนำเรื่องราว บอกเล่าระหว่างกัน
มีบ่น มีปลอบ มีบอก ทั้งที่ตัวเองงานยุ่ง แต่ก็ยังแอบเวลามาดูแล เด็กกรุง(เก่า)หลงทาง

ทั้งที่เรา ต่างก็เป็นคนแปลกตา ที่ไม่เคยเจอหน้ากันเลย - ขอบคุณจริง ๆ นะคุณ
และจริงอย่างที่คุณเอ่ยว่า มิตรภาพมันมีเส้นบาง ๆ ผูกกันไว้เสมอ
เราจะอยู่เป็นมิตรแท้ต่อกัน นับ จากนี้ไปใช่มั้ยคุณ 


คุณค่ะ
มือที่ส่งมาให้ตั้งแต่วันวาน ได้รับแล้ว อบอุ่นมาก และ ขอบคุณ นะคะ



โลกออนไลน์

ในพื้นที่บนโลกออนไลน์
เราไม่ใคร่ ที่จะให้ใครได้รู้จักตัวตนของเราสักเท่าไหร่


เมื่อวาน..ได้คุยกับพี่คนหนึ่ง
เราต่างพบว่า ปีที่ผ่านมา เป็นปีที่ได้พบปะ และสัมผัสกับผู้คนมากขึ้น
เราเชื่อในเรื่องราวของความสัมพันธ์ 
#หลายคนคือคนแปลกหน้าที่คุ้นเคย
เราชอบความห่วงใย ที่ถูกส่งผ่านมาหา จากคนที่ไม่รู้จักกัน
ความรู้สึกนั้น  เหมือนถูกโอบกอดจากข้างหลัง

เวลาที่เราได้รู้จักใครสักคน เราให้ใจ เราให้ความรู้สึกไปทั้งใจ
ไม่คาดหมาย ไม่คาดหวัง ไม่ได้ต้องการการตอบรับอะไร 
เราไม่เคยมีคำถาม เราไม่เคยถามว่าคุณจะเป็นอะไร ยังไง
เพราะเรา ไม่เคยอยากจะรู้จัก ว่าคนรู้จักของเรานั้นเป็นใคร
เราอยากรู้จักคุณ แค่ที่เรามองเห็น และเป็นคุณแบบที่เรามอง

ไม่ต้องเหนื่อย กับการเป็นปลาวาฬตัวใหญ่ หรือกลายร่างไปเป็นมดตัวน้อย
เมื่ออยู่กับเรา ก็ถอดหัวโขน โยนทิ้งไป ใส่รองเท้าแตะ ก็ได้นะ ถ้ามันจะทำให้คุณสบายใจขึ้น 
นั่งลง จิบชา กาแฟ แล้วฟังเพลงด้วยกัน หรือจะฟังเราบ่นก็ตามแต่ใจ..แฮร่


บางที
เราก็เหนื่อยกับความเป็นไปรอบตัว 
ขยับซ้ายก็โดนบาด ขยับขวาก็เจ็บปวด
อยู่ในภาวะที่ก้าวไปไม่ได้ 
ถอยหลังไม่ได้... เหมือนไม่มีทางใดให้เดิน
จะยืนเฉย ๆ มันก็หอกทิ่มแทง
ให้ขยับก้าวเดินไปด้านไหนสักทิศทา
นั่น ทำให้เราปวดร้าวมากเกินไป 
จนรู้สึกอยากกลับเข้ามุมตัวเองอีกที


วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ความรัก กับ บุพเพสันนิวาสและเนื้อคู่

ความรัก กับ บุพเพสันนิวาสและเนื้อคู่

คู่นั้นมีหลายแบบ ไม่ได้มีแต่คู่เวรกับคู่แท้

คำว่า ‘คู่แท้’ จะทำให้คุณนึกถึงเพศตรงข้ามที่ติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ เป็นตัวเป็นตนจับจองกันอย่างถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งธรรมชาติไม่ได้มีอะไรอย่างนั้น ตามกฎเหล็กข้อแรกสุดคือ ‘ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไป’

หากหันมาใส่ใจกับคำว่า ‘คู่บุญ’ และ ‘คู่บาป’ แทน อย่างนี้จะเห็นอะไรกระจ่างขึ้น เพราะคนเราทำบุญทำบาปสลับกันได้ ไม่มีใครทำบุญทำบาปร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตลอดไป และนั่นก็แปลว่า คู่บุญอาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบุญกันมามากกว่าร่วมทำบาป ส่วนคู่บาปก็อาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบาปกันมากกว่าร่วมทำบุญ

มองอย่างนี้อคติจะลดลงอย่างฮวบฮาบทันที ประเภทขัดเคืองใจนิดหน่อยก็เหมาว่านี่คู่เวรของเรา หรือประเภทต้องตาต้องใจเมื่อเริ่มพบก็เหมาว่านี่แหละคู่แท้ของฉัน เราจะเห็นตามจริงว่า ถ้าต้องตาเมื่อเห็น ถ้าเย็นใจเมื่อใกล้ อันนั้นก็เป็นคะแนนทางความรู้สึกด้านดีชั้นแรก ต่อเมื่อมีความผูกพันผ่านเหตุการณ์ดีร้าย หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ตรงนั้นค่อยเป็นคะแนนสะสมในชั้นต่อ ๆ มา กระทั่งปักใจเชื่อได้ว่าเป็นคู่บุญกันจริง ๆ 


ความรู้สึกด้านดีชั้นแรก ในระยะแรกพบสบตานั้น เป็นผลบุญจาก การอยู่ร่วมกันมาก่อนในอดีตชาติ
ส่วนการร่วมทุกข์ร่วมสุข ผ่านเหตุการณ์ดีร้ายต่าง ๆ มาด้วยกัน เป็นบุญใหม่ ที่เกิดจากการเกื้อกูลในปัจจุบันชาติ
 


ภาพ : ลิขสิทธิ์ Shutter Stock
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ความรักจะเกิดขึ้นไม่ได้

หากปราศจากเหตุปัจจัย
ทั้งอดีตและปัจจุบันประกอบกัน
ไม่ว่าจะเป็น...
ของเก่าหรือของใหม่
 

บุญที่สร้าง ‘คู่บุญ’ ขึ้นมาจะเหมือนๆกัน พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ ได้แก่

๑) มี ศรัทธา ไปในแนวทางเดียวกัน
เช่น ถือศาสดาองค์เดียวกัน เชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบากด้วยกัน เชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบนเหมือนๆกัน เชื่อแนวทางในการดำรงชีวิตรูปแบบเดียวกัน เป็นต้น

เมื่อ "ศรัทธา" ไม่ตรงกัน ก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน
เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกัน ก็คุยกันได้ไม่นาน
เมื่อคุยกันได้ไม่นาน ก็เบื่อกันเร็ว
อันนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกรูปนาม ไม่จำเพาะเฉพาะคู่รักเท่านั้น ขนาดเพื่อนกันแต่เชื่อไม่เหมือนกันยังยากที่จะเป็นเพื่อนสนิทเลยครับ ศรัทธาที่ร่วมกันปลูกฝังให้มั่นคงย่อมทำหน้าที่สร้างสายตาที่มองไปในทิศ เดียวกัน ไม่ก่อความรู้สึกเป็นอื่นจากกัน


๒) มี ศีล อันเป็นเครื่องหอมทางใจเสมอกัน
คือ มีความคิดงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกัน เป็นเหตุให้ไม่รังเกียจหรือหมั่นไส้กัน พรานหนุ่มกับพรานสาวทนกลิ่นอายฆ่าฟันของกันและกันได้ แต่ให้หมอศัลย์ที่มีรังสีช่วยชีวิตมาเป็นคู่ผัวตัวเมียกับมือปืนร้อยศพที่ ทะมึนด้วยรังสีเอาชีวิต อย่างไรก็คงทนกลิ่นอายที่เป็นตรงข้ามของกันและกันไม่ไหว


และนั่นก็เช่นเดียวกัน

ถ้าฝ่ายหนึ่งเจ้าชู้ ร้อยลิ้นกะลาวนไปเรื่อย โดยไม่สนใจความสกปรกหมกมุ่น ย่อมน่ารังเกียจยิ่สำหรับคนใจซื่อ ถือความสะอาดผัวเดียวเมียเดียว

"ศีล" ที่ร่วมรักษาให้บริสุทธิ์ดีแล้ว
ย่อมทำหน้าที่สร้างความอบอุ่น เชื่อมั่นในกันและกัน
สนิทใจ ไว้วางใจกันเป็นมั่นเหมาะ

๓) มี จาคะ อันเป็นวิธีคิดแบ่งปันเสมอกัน
อย่างน้อยต้องเป็นผู้ให้ซึ่งกันและกันในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายหนึ่งคิดอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายเอาเปรียบตลอด เช่น อีกฝ่ายสละเงินให้ใช้ อีกฝ่ายสละแรงปรนนิบัติ เป็นต้น


การเอารัดเอาเปรียบเกิดจากจาคะที่ไม่เสมอกันเป็นมูล ยิ่งหากต่างฝ่ายต่างคิดเจือจานคนอื่น เห็นข้าวของอะไรไม่ใช้แล้วก็คิดตรงกันว่าน่าบริจาคแก่คนที่เขาไม่มี อย่างนี้ยิ่งไปกันได้ มีโอกาสร่วมบุญกันบ่อยๆ ยิ่งให้คนอื่นมากก็ยิ่งได้ความสุขในการสละมาเสริมใยแก้วร้อยสัมพันธ์ให้กัน แน่นแฟ้นขึ้น

"จาคะ" ที่ร่วมกันยินดีโดยพร้อมเพรียง
ย่อมก่อความรู้สึกซึ้งใจอย่างใหญ่
เหมือนอยู่ด้วยกัน จะเป็นที่พึ่งให้กัน
ปลอดภัยร่วมกัน ประคับประคองกัน ไม่มีวันล้มพร้อมกัน

๔) มี ปัญญา เสมอกัน
กล่าวทางโลก คือ คุยกันรู้เรื่อง
กล่าวทางธรรม คือ มีระดับการเห็นตามจริงใกล้เคียงกัน หรืออย่างน้อยเป็นไปไปในทางเดียวกัน ไม่ใช่พูดคนละภาษา ฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีกฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา หรือฝ่ายหนึ่งเห็นชัด ว่าอะไร ๆ ไม่เที่ยง ความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อยก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ก็คงนึกระอาหรือหมั่นไส้ในกันเป็นอย่างยิ่ง

"ปัญญา" ที่ร่วมเสริมส่งกันและกัน
ย่อมทำหน้าที่สร้างความร่าเริงในการสนทนา
และความไม่พรั่นที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน
 

หากอดีตกาล คุณเคยครองเรือน
กับผู้มีบุญเสมอกันทั้ง ๔ ข้อ
 (อาจหย่อนนิดหย่อนหน่อยได้)

ขอเพียงได้มาพบกันในชาตินี้
ก็จะเกิดแรงดึงดูด ที่ก่อความรู้สึกแสนดีอย่างประหลาด

เหมือนเข้ากันได้ทุกอย่าง
เหมือนเห็นกันได้ทุกแง่มุม ด้วยความเข้าใจกระจ่าง 

ภาพ : ลิขสิทธิ์ Shutter Stock
 

จากที่พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัส ว่าหญิงชายจะพบกันทั้งชาตินี้และชาติหน้า ก็เพราะมีเหตุ คือต่างฝ่ายต่างมีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน คำว่า "เสมอกัน" นั้น อย่างน้อยที่สุด คือ ร่วมยินดีไปในแนวความเชื่อเดียวกัน มีใจปรารถนาจะรักษาศีล มีใจอยากสละให้ และอย่างน้อยพูดภาษาเดียวกันรู้เรื่อง ไม่ใช่ว่าฝ่ายหนึ่งเสนอ อีกฝ่ายนอกจากไม่สนองแล้วยังเอาแต่ขัดๆๆ


ยิ่งไปกว่านั้น พระพุทธเจ้ายังเคยตรัสว่า ความรักจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยเหตุสองประการ
- ประการแรก คือ เคยอยู่ร่วมกันมาในอดีตชาติ

- ประการที่สอง คือ ชาตินี้ได้เกื้อกูลกัน

นั่นแหละความรักอย่างลึกซึ้งถึงจะเกิดได้

 


ภาพ : ลิขสิทธิ์ Shutter Stock
มองด้วยข้อสรุปนี้

"คู่บุญตัวจริง" ก็คือ
คนที่เคยคิดดี พูดดี ทำดีต่อกันมาก่อน

รวมทั้งมี "ศรัทธา" ไปในทางเดียว
แข็งแรงใน "ศีล" ข้อเดียวกัน

มี "ใจคิดสละ" ประมาณเดียวกัน
และอย่างน้อยต้อง "พูดกันรู้เรื่อง"
ประมาณเพลิน คุยได้ไม่รู้เบื่อ 
 

แม้เราจะไม่รู้ว่าใคร คือ คู่บุญของเรา แต่หากต้องการเลือกชีวิตคู่ให้เหมาะสมนั้น แนะนำว่าให้ใช้หลักธรรมะ 4 ตัวเป็นตัวตั้ง คือ คนๆ นั้น หรือคู่ชีวิต จะต้องมีศีล จาคะ ปัญญา และศรัทธาที่ใกล้เคียงกับเราด้วย ชีวิตคู่ถึงจะไปด้วยกันได้ดี


สิ่งที่ควรพิจารณา เมื่อคบหากันแล้ว 
๑) รู้สึกว่าใช่หรือเปล่า (เป็นเรื่องของสัญญาที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกล้วนๆ)
๒) เกิดแต่เรื่องดีๆเมื่ออยู่ด้วยกันหรือเปล่า (วัดผลของอดีตกรรมที่ให้เป็นวิบากฝ่ายดี)
๓) ร่วมกันเปลี่ยนอุปสรรค หรือเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี ได้หรือเปล่า (ดูปัจจุบันกรรมที่เอื้อให้เกื้อกูลร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้แค่ไหน)
๔) เกิดแรงบันดาลใจให้คิด พูด ทำดี ๆ ต่อกันและต่อคนรอบข้างหรือเปล่า (ปัจจุบันกรรมที่จะให้ผลเป็นวิบากอนาคตที่สดใสหรือไม่ คู่ที่จรรโลงใจกันด้วยบุญ เลี้ยงใจกันด้วยบุญไม่ขาดสายเท่านั้น ที่ไม่เบื่อ ไม่แห้งแล้งต่อกันเสียก่อนตาย)

สรุป คือ เข้าคู่กันแล้วรู้สึกดีๆ เกิดเรื่องดี ๆ ก็ใช่เลยครับ และไม่ต้องไปหมายมั่นเอาว่านั่นคือเครื่องแสดงความถาวร เป็นเนื้อคู่นิรันดร์ เพราะสังสารวัฏไม่มีอะไรอย่างนั้นให้ มีแต่เปลี่ยนกับเปลี่ยนครับ จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือเลวลงเท่านั้น

 


ภาพ : ลิขสิทธิ์ Shutter Stock
 

เคล็ดลับการทำให้คู่ชีวิตสนใจ 
- ถ้าคู่ชีวิตคู่ไหน อยากให้อีกฝ่ายหนึ่งสนใจ หรือหันมามองตัวเอง ตัวเราต้องฝึกฝนให้ดีเสียก่อน โดยใช้วิธีปฏิบัติธรรม เจริญสติในชีวิตประจำวัน จะทำให้เราได้เห็น และรู้จักตัวเองดีขึ้น รู้จักตัวเองในที่นี้ คือ เวลาเกิดปัญหา จะไม่มอง และโทษคนอื่น หรือเห็นคู่ชีวิตเป็นฝ่ายผิดตลอด 

- เมื่อฝึกฝนตัวเองดีแล้ว เช่น คุมอารมณ์ให้อยู่ และเข้าใจความต่างในตัวของคนที่เรารัก จะช่วยให้อารมณ์ดี และใจเย็นขึ้น ใจจะเห็นโลกตามความเป็นจริง และสติจะช่วยให้เรารักษาศีลได้ดีขึ้น มีเมตตาเป็นเครื่องหนุนให้ผู้ปฏิบัติและคนที่อยู่ใกล้ชิดมีความรู้สึกสบายใจ


สรุปว่า ถ้าอยากให้คนอื่นเข้าใจตัวเรา เราต้องเข้าใจตัวเองก่อนว่า ณ ขณะนี้ เราคือใคร กำลังทำอะไร ปัญหาเกิดขึ้นเพราะใคร ต้องยอมรับความจริงให้เป็น ที่สำคัญไม่ควรไปรื้อฟื้นอดีตที่เลวร้ายของกันและกันมาเป็นข้อถกเถียง แต่จงอยู่กับปัจจุบัน เพราะจะทำให้มีความสุขมากว่า

 

 

ที่มา:
1. ธรรมะเลือกคู่“ศีล-จาคะ-ปัญญา-ศรัทธา” (“ธนาคารความสุขสาขา 2” โดยคุณพิทยากร ลีลาภัทร์)
2.วาทะดังตฤณ ฉบับความรักหลากสี (คุณดังตฤณ)
 

แหล่งข้อมูล
กระทู้ของคุณสมาชิกหมายเลข 826032 พันทิพดอทคอม
เนื้อหาเรียบเรียงโดย Kaijeaw.com
เครดิต Ture ปลูกปัญญา

คู่บุญ

"คู่บุญตัวจริง" ก็คือ
คนที่เคยคิดดี พูดดี ทำดีต่อกันมาก่อน

รวมทั้งมี "ศรัทธา" ไปในทางเดียว
แข็งแรงใน "ศีล" ข้อเดียวกัน

มี "ใจคิดสละ" ประมาณเดียวกัน
และอย่างน้อยต้อง "พูดกันรู้เรื่อง"
ประมาณเพลิน คุยได้ไม่รู้เบื่อ 


สิ่งที่ควรพิจารณา เมื่อคบหากันแล้ว 

๑) รู้สึกว่าใช่หรือเปล่า (เป็นเรื่องของสัญญาที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกล้วนๆ)
๒) เกิดแต่เรื่องดีๆเมื่ออยู่ด้วยกันหรือเปล่า (วัดผลของอดีตกรรมที่ให้เป็นวิบากฝ่ายดี)
๓) ร่วมกันเปลี่ยนอุปสรรค หรือเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี ได้หรือเปล่า (ดูปัจจุบันกรรมที่เอื้อให้เกื้อกูลร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้แค่ไหน)
๔) เกิดแรงบันดาลใจให้คิด พูด ทำดี ๆ ต่อกันและต่อคนรอบข้างหรือเปล่า (ปัจจุบันกรรมที่จะให้ผลเป็นวิบากอนาคตที่สดใสหรือไม่ คู่ที่จรรโลงใจกันด้วยบุญ เลี้ยงใจกันด้วยบุญไม่ขาดสายเท่านั้น ที่ไม่เบื่อ ไม่แห้งแล้งต่อกันเสียก่อนตาย)

แหล่งข้อมูล
กระทู้ของคุณสมาชิกหมายเลข 826032 พันทิพดอทคอม
เนื้อหาเรียบเรียงโดย Kaijeaw.com

เครดิต Ture ปลูกปัญญา

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2563

วันไหนนะ...จะเป็นวันสุดท้ายของชีวิต

โลกจะจดจำเราแบบไหน

แบบคนธรรมดา หรือ คนพิเศษ

ฉันจะได้เข้าไปเป็นความทรงจำที่แสนวิเศษ ของใครบางรึเปล่านะ


อย่าคิดว่าชีวิตยังอีกยาวไกล


                          จนลืม ขอโทษ คนที่ควร ............ ขอโทษ
                           จนลืมที่จะรัก   คนที่คุณควร.......รัก

ชีพหนึ่งไม่ยาวนาน ไม่รู้จะมีอีกกี่เช้าให้เราตื่น


มายาแห่งหลอดด้าย....โดยท่าน ว. วชิรเมธี

*ชีวิตเหมือนด้ายในหลอดด้าย * ควรมีชีวิตที่ไม่ประมาท


สองสัปดาห์ก่อน ผู้เขียนจาริกปฏิบัติศาสนกิจในฐานะพระธรรมทูต
ที่มหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา วันหนึ่งหลังจบการเสวนาธรรม
สตรีสูงอายุคนหนึ่งขอโอกาสเข้ามานั่งคุยกับผู้เขียน ระหว่างการสนทนา
ผู้เขียนสังเกตเห็นว่า น้ำตาเธอคลอหน่วย
เมื่อสอบถามถึงสาเหตุ เธอจึงตอบว่า ที่น้ำตาคลอหน่วย
เพราะรู้สึกดีใจที่ได้มาฟังธรรม แต่พร้อมกันนั้นก็เสียใจจนสะเทือนใจ
ที่สะเทือนใจก็เพราะเธอรู้สึกว่า ตนเองได้พบกับ ธรรมะเมื่ออายุมากแล้ว
จึงรู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมา เธอเล่าว่า

"ชีวิตคนเรา ก็เหมือนกับเส้นด้ายที่ถูกดึงออกมาจากหลอดด้ายทีละนิดๆ
ขณะที่ดึงด้ายออกมาจากหลอดด้ายนั้น บางทีเราก็รู้สึกกระหยิ่มว่า ยังมีด้ายเหลือ
อยู่อีกมากมาย จึงชะล่าใจที่จะดึงด้ายออกมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย
แต่พบว่าแท้จริงแล้ว
มีด้ายอยู่เพียงนิดเดียว เย็บผ้าได้เพียงนิดหน่อยก็หมด หากแต่ที่เราเห็นว่า
ยังคงมีด้ายเหลืออยู่เยอะแยะนั่นเป็นเพราะว่า
แกนด้ายมันใหญ่ต่างหาก...มันหลอกตาให้เราพลอยชะล่าใจ...

พลันที่เธอเล่าจบ ผู้เขียนก็รู้สึกสว่างโพลงขึ้นมาในใจ
ผู้หญิงคนนี้ เธอไม่ได้มาฟังเทศน์เสียแล้ว แต่เธอมาเทศน์ต่างหาก

เธอกำลังเทศน์เรื่อง "ความสำคัญของเวลา" และ " คุณค่าของชีวิต"
เคยได้ยินคำพูดในทำนองนี้บ่อยๆ ว่า เรามีเวลา ๒๔ ชั่วโมงต่อหนึ่งวันเท่ากัน
ทว่าเราได้ประโยชน์จากเวลาไม่เท่ากัน

สำหรับบางคนเวลา ๒๔ ชั่วโมงช่างแสนสั้น แต่สำหรับบางคน ๒๔ ชั่วโมง
ช่างเป็นเวลายาวนานเหลือแสน

ผู้หญิงคนนี้เธอบอกว่า เธอเสียดายที่มีเวลาเหลืออีกไม่มาก
อยากจะปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุดก็เกรงว่าเวลาจะมีไม่พอ

ผู้เขียนจึงบอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้นไม่สำคัญที่เวลา แต่สำคัญที่ "ปัญญา"
สำหรับคนมีปัญญากล้าแข็ง อย่าว่าเป็นวันเลย บางทีนาทีเดียวก็บรรลุธรรมได้
สำหรับคนเขลา ต่อให้ภาวนาทั้งชีวิต บางทีก็ยังไม่เห็นผล

คนที่อยู่ในวัยสนธยา จึงไม่ควรน้อยใจว่า เรามีเวลาไม่พอ
แต่ควรจะบอกตัวเองว่า *เรายังพอมีเวลา" ต่างหาก
แต่คนที่คิดว่าเรายัง "พอมีเวลา" ก็ต้องระวังด้วยเหมือนกัน
เพราะบางทีการคิดด้วยท่าทีที่เป็นบวกอย่างนี้
ก็ทำให้ประมาท และเป็นเหตุให้พลาดโอกาสที่จะเร่งรัดทำสิ่งดีๆ

ดังนั้น นอกจากจะคิดว่ายังพอมีเวลาแล้ว ก็ควรจะคิดเพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า
"วันนี้เป็น วันสุดท้ายของชีวิต" ด้วย
เพราะหากเราคิดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต
เราจะเริ่มคิดถึงสิ่งที่ต้องทำแข่งกับเวลา
และนั่นจะทำให้ เวลากลายเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดของชีวิตได้ในทุกๆ วัน

เราเคยได้ยินพระท่านสอนบ่อยๆว่า การฆ่าสัตว์เป็นบาป แต่ผู้เขียนอยากบอกว่า
การฆ่าเวลาต่างหากที่เป็นบาปมหันต์ยิ่งกว่า เพราะเมื่อคุณฆ่าสัตว์ หากสำนึกได้
คุณอาจจะไปหาสัตว์มาปล่อยเอาบุญ แต่หากคุณฆ่าเวลาด้วยวิธีใดก็ตาม
ถึงแม้คุณจะสำนึกผิด กลับมาเห็นคุณค่าของเวลา
ทว่าก็ไม่สามารถย้อนเวลาที่ผ่านไปแล้วให้หวนคืนกลับมาได้อีก
เราทุกคนต่างก็มีเวลาที่ไม่อาจรีไซเคิล ไม่ว่าคุณจะมีเงินมหาศาล
สักกี่ล้านล้านดอลล่าร์ก็ตามที สำหรับเวลานั้น ผ่านแล้วผ่านเลยนิรันดร์

ครั้งหนึ่งลีโอ ตอลสตอย เคยเขียนปริศนาธรรมไว้ว่า
  "ใคร  คือ คนสำคัญที่สุด
งานใด  คือ งานที่สำคัญที่สุด
เวลาใด คือ เวลาที่ดีที่สุด"

ตอลสตอยตั้งคำถามนี้ผ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง และในที่สุดก็เฉลยว่า

"คนสำคัญที่สุด ก็คือ คนที่อยู่เบื้องหน้าเรา
งานสำคัญที่สุด ก็คือ งานที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้
เวลาที่ดีที่สุด   ก็คือ เวลาปัจจุบันขณะนี้"

ทำไมคนที่อยู่เบื้องหน้าเราจึงสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ อาจเป็นไปได้ว่า
ในชั่วชีวิต อันแสนสั้นนี้ เรากับเขาอาจมีโอกาสพบกันได้เพียงครั้งเดียว
ดังนั้นเราจึงควรทำให้การพบกันทุกครั้งเป็นเหมือนการเฉลิมฉลองอันแสนวิเศษ
ที่ต่างฝ่ายต่างควรสร้างความทรงจำแสนงามไว้ให้แก่กันและกันตลอดไป

เราต้องไม่ลืมว่า มนุษย์นั้น รู้เกลียดยาวนานกว่ารู้รัก
หากการพบกันครั้งแรกนำมาซึ่งความรัก และหากเป็นการพบกันเพียงครั้งเดียว
ของชีวิตในอนันตจักรวาล นั่นก็นับว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดแล้ว
สำหรับการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างคนสองคน

ทำไมงานที่เรากำลังทำอยู่ขณะนี้ จึงเป็นงานสำคัญที่สุด
คำตอบก็คือ ทันทีที่คุณ ปล่อยให้งานหลุดจากมือคุณไป
งานก็จะกลายเป็นของสาธารณะ
หากคุณทำงานดี มันก็คือ อนุสาวรีย์แห่งชีวิต และหากคุณทำงานไม่ดี
มันก็คือความอัปรีย์แห่งชีวิต
ตอนแรกคุณเป็นผู้สร้างงาน แต่เมื่อปล่อยงานหลุดจากมือไปแล้ว
งานมันจะเป็น ผู้ย้อนกลับมาสร้างคุณ

ทำไมเวลาที่ดีที่สุด จึงควรเป็นปัจจุบันขณะ คำตอบก็คือ
เพราะเวลาทุกวินาทีจะไหลผ่านชีวิตเราเพียงครั้งเดียว
ไม่ว่าคุณจะหวงแหนเวลาขนาดไหน มีเงินมากเพียงไร
ก็ไม่มีใครสามารถรื้อฟื้นเวลาที่ล่วงไปแล้วให้คืนกลับมาได้

ทุกครั้งที่เวลาไหลผ่านเราไป หากเราไม่ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ชีวิตของคุณ ก็พร่องไปแล้วจากปวงประโยชน์มากมายที่คุณควรได้จากห้วงเวลานั้น

เวลาไม่มีตัวตน แต่หากเรามีปัญญา
ก็สามารถสร้างคุณค่าที่เป็นรูปธรรมจากเวลาได้อเนกอนันต์
คน...แม้มีตัวตนเห็นกันอยู่ชัดๆ แต่หากปฏิบัติไม่ถูกต่อเวลา
ถึงมีตัวตนเป็นคนอยู่แท้ๆ แต่ชีวิตก็อาจว่างเปล่ายิ่งกว่าเวลา

ทุกวันนี้ เราทุกคนกำลังสาวด้ายแห่งเวลาในชีวิตออกมาใช้กันอยู่ทุกขณะจิต
แต่เคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่า
เส้นดายแห่งเวลาในชีวิตของเรา เหลือกันอยู่สักกี่มากน้อย
เราถนัด แต่สาวด้ายออกมาใช้
หรือว่าเราใช้เส้นดายแห่งเวลาอย่างมีคุณค่าที่สุดแล้ว...

เครดิต *มายาแห่งหลอดด้าย....โดยท่าน ว. วชิรเมธี
เครดิต *<http://www.oknation.net/blog/lifesession/2008/12/03/entry-1>

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563

บนโลกใบนี้

อะไรนะ...ที่ปลูกจิตสำนึกของคน

ให้รู้สึกว่า...สิ่งนี้ดี/สิ่งนี้ชั่ว

ดูข่าวแต่ละวันก็สะท้อนในใจ

แม่ฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อ

สิ่งที่น่าเว ทะ นา คือ ความไม่รู้จัก ผิดชอบ ชั่วดีของคน