วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

หลัก 6 ประการ สู่ความสำเร็จในการสร้างมนุษยสัมพันธ์

หลัก 6 ประการ สู่ความสำเร็จในการสร้างมนุษยสัมพันธ์

หลัก 6 ประการ สู่ความสำเร็จในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ 
เขียนโดย หิรัญ พบลาภ


บทความต่อไปนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่คิดว่า....
ความสำเร็จของตนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่น ไม่ต้องการที่จะคบหาใคร
และต้องการที่จะอยู่เพียงลำพังผู้เดียวในโลกส่วนตัว
แต่เพราะความสำเร็จของคนๆหนึ่ง ขึ้นกับการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น 
ท่านอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับแนวทางต่อไปนี้ก็ได้ 
นั่นเป็นกรอบความคิดของแต่ละบุคคลพึงมี ที่ไม่มีใครเหมือนกัน 
แต่เป็นสิ่งที่ไม่ยาก หากท่านจะท้าทาย เพื่อพิสูจน์กับความจริงบางอย่าง
ขอเพียงท่านประพฤติตัวตรงข้ามจากแนวทางความจริงนั้น 
ผลลัพธ์ของมัน จะบอกได้เองว่า อะไรจริง อะไรเท็จ สัจธรรมต่าง ๆ
พิสูจน์ได้ด้วยวิธีนี้


หลักการปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นในฐานะที่ต้องพึ่งพากัน 
เพื่อจุดมุงหมายสู่ความสำเร็จในทุกๆ ด้าน ของคนทุกระดับ 
จะหนีไม่พ้นไปจากหลักการพื้นฐานต่อไปนี้



1. ชื่อ คือเสียงที่ไพเราะสำหรับแต่ละคน
ทุกครั้งที่ใครถูกเรียกชื่อ จะรู้สึกเสมือนหัวใจพองโต รับรู้ถึงความรื่นไพเราะหูเสมอ 

การที่เราจำชื่อคนอื่นได้ และเรียกด้วยความถูกต้องคล่องปาก
เสมือนเรากำลังกล่าวคำชมที่มีประสิทธิภาพ 
การลืมชื่อหรือเรียกชื่อผิด เท่ากับว่าเรากำลังเข้าสู่ความลำบาก 
และเพลี่ยงพล้ำเสียประโยชน์ที่พึงได้จากการติดต่อ

ความคิดแห่งการจำชื่อ และการให้เกียรติชื่อของผู้อื่น
เป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งของคุณสมบัติ ของผู้ประสบความสำเร็จ 
แม้แต่ระหว่างเจ้านาย กับลูกน้องการเรียกชื่อเขาได้ และถูกต้อง 
จะสร้างความอบอุ่นให้ผู้ถูกเรียกได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ผู้ประสบความสำเร็จในการติดต่อกับผู้คน เขามักตระหนักเสมอว่า 
ผู้คนล้วนแต่ภาคภูมิใจในชื่อของตนเสมอ ที่สำคัญมันเป็นหลักจิตวิทยา
การสร้างความรู้สึกที่ดี และแสดงให้ผู้อื่นได้รับรู้ว่าเขาถูกให้เกียรติ 
และเติมเต็มความต้องการเป็นผู้มีความสำคัญ



2. แค่รอยยิ้มก็ได้มิตรภาพเกินครึ่ง 
สีหน้าที่ปรากฏ มีความหมายกว่าภาษาที่พูดมากมาย
มันแสดงอะไรหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความจริงใจ 
รอยยิ้มเป็นไปได้มากกว่าคำพูดที่จะเอ่ยว่า “ ผมมีความสุขมากที่ได้พบคุณ ” 
ผู้ที่แสวงหาความสำเร็จ จะปฏิบัติต่อผู้อื่นที่มาบ่นเพ้อ 
หรือแสดงความไม่พอใจด้วยท่าทางที่สงบ แจ่มใส 
และยิ้มเสมอขณะที่พวกเขาฟังคำประณามใดๆ 
รอยยิ้มระงับความโกรธได้อย่างไม่น่าเชื่อ 
ท่านลองทำดู แต่จงรู้ไว้ก่อนว่ามันเป็นสิ่งยากยิ่งที่ต้องฝึกฝน 
ไม่ใช่เสแสร้ง มันเป็นสิ่งที่ยากในช่วงแรกๆ แต่ผลมันมีค่ายิ่ง
รอยยิ้มที่จริงใจ คือเจตนาที่ดีของตัวท่านที่ผู้อื่นรับรู้ได้ ในสภาวะแวดล้อมรอบตัวท่าน
สิ่งที่ทำให้ท่านเป็นสุข หรือทุกข์หาใช่เงื่อนไขแวดล้อมเหล่านั้นไม่ 
หากแต่ขึ้นกับการเลือกตอบสนองของท่านเองต่างหาก
ในสภาวะเงื่อนไขเดียวกัน ทำให้อีกคนชอบ หรือเป็นสุขได้ 
แต่สำหรับอีกคนกลับ เป็นทุกข์หรือรังเกียจ 
ก็เพราะมนุษย์ต่างมีทัศนคติในการมองโลกเป็นของตัวเอง
ไม่มีอะไรที่ดี หรือเลว เหมือนกันหมดสำหรับทุกๆ คน 
ยิ้มไว้ ชัยชนะในมิตรภาพเป็นของท่าน

3. หากท่านหวังให้คนอื่นชอบ ก็จงตอบสนองความต้องการผู้อื่นก่อน
เราสามารถผูกมิตรได้มากขึ้น เพียงแค่การให้ความสนใจแก่ผู้อื่นอย่างแท้จริง 
จงสร้างความประทับใจให้ผู้อื่น อย่ามุ่งหวังแต่ให้ผู้อื่นสนใจในตัวท่าน 
เพราะมิตรแท้มิได้เกิดด้วยวิธีการนี้ 
มีผู้กล่าวไว้ว่า “ คนใดไม่ให้ความสนใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ผู้นั้นจะประสบแต่ความยากลำบากในชีวิต
และจะเป็นต้นเหตุในการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น ”
ทุกคนไม่ว่าจะอาชีพใด หรือชนชั้นไหน ล้วนแล้วแต่กระหายให้ผู้อื่นสนใจและชื่นชม 
ดังนั้นหากต้องการความสำเร็จในมิตรภาพ ขอจงสละความเห็นแก่ตัว
และหันไปมองในมุมของผู้อื่นบ้าง ไม่เว้นแม้แต่เวลาที่ท่านคุยโทรศัพท์
ท่านจงเอ่ยน้ำเสียงที่แสดงให้เห็นว่า ท่านมีความกระตือรือร้นที่จะติดต่อกับคนๆ นั้น




4. จงเป็นนักฟัง มากกว่า นักพูด
ไม่มีอะไรที่จะแสดงความนับถือ และให้เกียรติคู่สนทนาไปได้มากกว่าการสนใจฟัง
คู่สนทนาของท่าน
เพราะนั่นเป็นการแสดงความชื่นชมอย่างดีที่ท่านมีให้เขา
คนส่วนมากล้มเหลวในการสนทนาเพราะเขาไม่รู้จักฟังผู้อื่น
ไม่ฟังเพื่อจับประเด็น และทำความเข้าใจ 
ส่วนมากมักวุ่นอยู่กับสิ่งที่ตัวเองจะพูดโต้ตอบกลับไป
จนไม่มีเวลาที่จะสนใจฟังคู่สนทนาอย่างจริงใจ
ผู้มีความสำเร็จในชีวิต มักเป็นนักฟังผู้เยี่ยมยอด
และมันเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากยิ่งในตัวบุคคล
ไม่ยากอย่างที่กล่าวมาข้างต้น หากท่านจะพิสูจน์ความจริงข้อนี้ 
หากท่านอยากให้ใครสักคนหลีกให้ไกล และหันหลังหัวเราะเยาะท่าน
ก็จงทำตัวเป็นผู้พูดมากเข้าไว้ จงอย่าฟังใครนานนัก พูดแต่เรื่องของตัวท่าน อย่าหยุด 
พูดออกไปให้มากๆ หากคนอื่นจะเอ่ยปากพูด จงสวนทะลุกลางปล้อง
แม้แต่ตัวท่านเอง เจอแบบนี้จะรู้สึกเช่นไร.. 
คนปรารถนาที่จะได้มิตรภาพ จะเป็นผู้ฟังอย่างตั้งใจและสนใจในสิ่งที่ผู้อื่นกำลังพูด 
เขาถาม คำถามที่ผู้อื่นอยากจะตอบ 
เปิดโอกาสและสนับสนุนให้ผู้อื่นพูด 
จำไว้เสมอว่าทุกคนล้วนอยากเป็นคนสำคัญในสายตาผู้อื่น
ปัญหาของเขา เขาย่อมสนใจมากกว่าปัญหาของท่านแน่ๆ 
แค่เปิดใจ ไม่ใช่แกล้งทำ ท่านไม่ต้องทำเป็นยอมแพ้เพื่อผู้อื่น 
แต่จงฝึกฝน และจะรู้ว่าผลที่ได้ คือชัยชนะทั้งคู่


5. คำขอโทษและคำชม คือภาษาสวรรค์
จงให้ความสำคัญ และปฏิบัติตัวให้เกียรติผู้อื่น ด้วยความกล้าที่จะเอ่ยคำชม 
และการขอโทษอย่างจริงใจ
เพราะความปรารถนาที่จะเป็นผู้ที่มีความสำคัญ เป็นธรรมชาติอันลึกซึ้งของมนุษย์ 
ไม่น่าเชื่อว่าความกระหายอยากเป็นผู้มีคุณค่า และความสำคัญแห่งตน
เป็นจุดกำเนิดแห่งอารยธรรมมนุษย์ ที่แตกต่างไปจากสัตว์โลกอื่นๆ 
คำชมจากความจริงใจ มิใช่คำเยินยอ ปอปั้น 
คำชมของท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าเขายังมีคุณค่าพอที่จะมีคนชม
มีคนบ้าจำนวนมากที่ทางการแพทย์สรุปออกมาว่า
ภาวะเสียสติของพวกเขา เกิดจากการไม่ได้รับการตอบสนองในเรื่องความต้องการ 
การเป็นผู้ที่มีคุณค่า และความสำคัญ 
เช่นเดียวกันกับการกล่าวคำขอโทษ เป็นการให้เกียรติ 
และนับถือความเป็นผู้ที่มีความสำคัญ ในตัวผู้อื่น
ไม่มีอะไรที่จะทำลายความรู้สึกทะเยอทะยาน หาญกล้าของคนๆ หนึ่งได้มากไปกว่าการตำหนิกล่าวโทษ
คนส่วนมากอาย และเสียศักดิ์ศรีที่จะกล่าวขอโทษในความผิดที่ตัวเองมีต่อผู้อื่น 
ดังนั้นจงมอบมิตรภาพให้กับผู้อื่นด้วยการแสดงคำชื่นชม และกล่าวขอโทษ

6. วิธีสร้างศัตรู
ไม่ยากหากชีวิตท่านอยากจะมีแต่ศัตรู เพียงเมื่อท่านคุยอะไร กับใคร
บอกเขาไปสิว่า เขาผิด การที่บอกว่าใครผิด 
ท่านคิดหรือว่าร้อยทั้งร้อยเขาจะเห็นด้วยกับท่าน ไม่มีทาง 

มองโลกให้ดีวันละนิด ชีวิตมีสุข (Positive Thinking)

มองโลกให้ดีวันละนิด ชีวิตมีสุข (Positive Thinking)

มองโลกให้ดีวันละนิด ชีวิตมีสุข (Positive Thinking)
John Milton (พ.ศ. 2151-2217) กวีเอกชาวอังกฤษ
กล่าวว่า "จิตมนุษย์ทำให้นรกเป็นสวรรค์ ก็ได้ทำสวรรค์ให้เป็นนรกก็ได้" 
เป็นการสอนให้เรารู้ว่ามนุษย์มี จำพวก พวกหนึ่งมองโลกในแง่ดี แง่บวก 
มองว่าทุกปัญหามีหนทางแก้ไขได้ ส่วนอีกพวกหนึ่งมองโลกแง่ลบ หมดหวัง ท้อแท้ เบื่อหน่าย
คล้ายกับว่าทุกหนทางมีปัญหาท่านที่ผ่านชีวิตมาพอสมควร 
คงจะสังเกตุความจริงเหล่านี้ได้ และพิจารณาดูชีวิตของเราเอง เราก็คงจะบอกได้ว่าเราเป็นคนประเภทใด 
หรือมีส่วนประสมของสองลักษณะเข้าด้วยกัน 
บางช่วงก็มองโลกในแง่ดีมีความหวังมากแต่พอประสบความผิดหวังในบางเรื่อง ก็พาลจะท้อแท้ยอมแพ้เอาง่าย ๆ 
และพาให้เริ่มมองโลกในแง่ลบไป 
จนกระทั่งมีคนเตือนสติหรืออ่านข้อคิดของคนบางคนที่ตกในที่นั่งลำบากกว่าเราเขายังฮึดสู้ จนพบความสำเร็จในที่สุด
มีคำกลอนของหลวงวิจิตร วาทการ กล่าวไว้ดังนี้

เป็นการง่าย ยิ้มได้ไม่ต้องฝืน
เมือชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์
แต่คนที่ควรชม นิยมกัน
ต้องใจมั่น ยิ้มได้เมื่อภัยมา

คนที่จะมั่นใจ ยิ้มได้เมื่อภัยมานั้น ต้องฝึกหัดตัวเอง ให้คุ้นเคยกับความจริงของชีวิต ว่าทุกอย่างมีขึ้นมีลง ไม่เที่ยง

เราจึงไม่ควรยึดมั่นกับสภาวะใด สภาวะหนึ่ง แต่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ตีโพยตีพาย ตีตัวไปก่อนไข้ 
แต่พยายามมีสติ รู้เท่าทันอยู่เสมอ ทำใจให้นิ่ง แล้วรวบรวมสติปัญญา
เพื่อแก้ปัญหาที่ประสบอยู่ให้บรรเทาเบาบางลงหรือหมดไป

มีเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในอเมริกา สมัยสงครามกลางเมือง
มีเจ้าของฟาร์มอยู่ในชนบท เลี้ยงม้าที่สวยงามไว้หลายตัว 
วันหนึ่งม้าตัวโปรดหายไปในป่า ทั้งเจ้าของฟาร์มและบุตรชายก็รู้สึกเสียดายมาก ออกติดตามหาก็ไม่พบ
แต่ผ่านไปประมาณ 4-5 วัน ม้าดังกล่าวก็กลับมาเอง พร้อมกับมีม้าป่าตามมาด้วยตัวหนึ่ง 
ทุกคนรู้สึกดีใจว่าโชคร้ายกลับกลายเป็นดี ลูกชายเจ้าของฟาร์มอยากจะลองขี่ม้าป่าที่ตามมา พยายามจะฝึก แต่ม้าป่าก็พยศมาก
จนในที่สุดลูกชายเจ้าของฟาร์มก็ตกม้าขาหัก เข้าเฝือก และเดินกระเผกเสียความสง่างามไป ก็รู้สึกว่าโชคดี ก็กลับเป็นโชคร้ายอีก
แต่ไม่นานหลังจากขาหักก็มีการเกณฑ์เอาคนหนุ่มไปเป็นทหารออกรบในสงครามกลางเมือง แต่เนื่องจากขาหัก-พิการ จึงถูกยกเว้น 
ปรากฏว่าหารที่ไปออกรบเสียชีวิตหมด จึงรู้สึกว่าการตกม้าขาหักก็ทำให้กลายเป็นโชคดี ไม่ต้องไปรบ 
ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตเช่นทหารคนอื่น ๆ

เรื่องดังกล่าวข้างต้นสอนเราให้มองทุกอย่างว่ามี ด้านปนกันเสมอ 
โชคดีก็มาพร้อมกับโชคร้าย และโชคร้ายก็อาจกลายเป็นโชคดีก็ได้
ดังนั้นเราจึงควรทำใจให้เป็นกลาง ๆ ยอมรับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตด้วยใจเป็นกลาง 
ไม่วิตกกังวลถึงอนาคต แต่ก็ไม่ประมาทและทำชีวิตวันนี้ให้ดีที่สุด 
เพื่อให้วันนี้กลายเป็นวันวานที่ดีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ในที่สุดเราก็ได้สะสมวันวานที่ดีมากขึ้น บวกกับวันนี้ที่คิดดีทำดี มีความหวังเพิ่มขึ้นทุกวัน 
ก็จะเป็นแรงพลักดันไปสู่อนาคตที่ดีมีความสุขสมหวัง อย่างแน่นอน

กล่าวนำอรัมภบทมาพอสมควร แต่ก็ยังมีคนขี้สงสัย ตั้งคำถามว่าทำไมต้องหัดคิดในทางบวกซึ่งพอจะตอบได้ดังนี้

1. 
ชีวิตคนเราสั้นนัก 
ประมาณ 70-80 ปี โดยเฉลี่ย ถ้ากรรมพันธุ์อายุยืนยาว และเรียนรู้ดูแลสุขภาพกายและจิตดี ๆ ก็มีสิทธิที่จะอยู่ถึง100 ปีได้

แต่ก็ด้วยความลำบากลำบนดังนั้นชีวิตที่มีอยู่ไม่ยาวนานนัก 
เฉพาะคิดแค่ด้านดี ๆ ก็มีเวลาไม่มาก จึงไม่ควรเสียเวลาไปคิดสิ่งที่ร้าย ๆ 
ทำให้เกิดความวิตกกังวลโดยไม่จำเป็น เป็นการลดคุณภาพของวันคืนที่เรามีเหลืออยู่
มีประโยคภาษาอังกฤษกล่าวสอนเราว่า "It's better to add life to your years than to add years to your life"
แปลทำนองว่า เพิ่มคุณภาพให้ชีวิตดีกว่าเพิ่มปริมาณหรือจำนวนปีให้ชีวิต

2. 
คุณเป็นอย่างที่คุณคิด
คุณคิดว่ามีทางเป็นไปได้ คุณก็พยายามจนพบหนทาง 
แต่ถ้าเริ่มต้นก็บอกไว้ก่อนว่าเป็นไปไม่ได้ มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ (สำหรับคุณ) 
คนจีนจึงมีคำพูดที่สอนลูกหลานว่า "ถ้าคุณเริ่มเดินไปก็เริ่มเห็นทางชัดเจนขึ้น" 
สมัยก่อนเวลาไปไหนใหม่ ๆ ก็เป็นป่ารก แต่พอคุณเริ่มเดินบ่อยเข้า ทางก็เริ่มเกิดแนวชัดเจนและขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
สุภาษิตสเปนก็สอนไว้ว่า "If you cannot build a castle in the air , you cannot build it any where" 
แปลทำนองว่า ถ้าคุณไม่กล้าคิดสร้างวิมานในอากาศก่อน คุณก็ไม่สามารถสร้างความสำเร็จที่ไหนได้เลย
หมายความว่าคุณต้องกล้า คิดกล้าฝันก่อนว่าเป็นไปได้ จึงจะเป็นไปได้ในชีวิตจริง 

3. 
การคิดในทางบวก
เริ่มต้นที่การเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่นและธรรมชาติ 
ทำให้เห็นความดีของตนเอง ของผู้อื่นและธรรมชาติที่แวดล้อมเรา ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ทำให้สามารถชื่นชมสิ่งดี ๆ มีความสุขใจมากกว่าทุกข์ใจ มีเพื่อนมากกว่ามีศัตรู มีสุขภาพมากกว่าโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งปัจจุบันวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้ชัดเจนขึ้นว่า 
คนที่มองโลกในแง่บวกจะสุขใจและมีอายุยืนยาวกว่าการที่มองโลกในแง่ลบ เพราะความสุขใจหรือความปิติที่เกิดขึ้นนั้นจะกระตุ้นสมองให้หลั่ง "สารสุข" หรือ "Endorphine " ออกมา 
ทำให้แก้ปวด คลายเครียด เพิ่มภูมิต้านท่านโรคแก่ร่างกาย กินได้ นอนหลับดี สุขภาพโดยรวมก็ย่อมดีขึ้น
ตรงกันข้ามคนที่เครียดตลอดเวลา จะหลั่ง "สารทุกข์" คือ Adrenaline ออกมามาก 
ก็จะกระตุ้นให้ใจสั่น นอนไม่หลับ ท้องผูก เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย และมักจะเกิดโรคแทรก หรือโรคจิต ประสาทขึ้นมาได้
บางคนเกิดภาวะซึมเศร้า ถึงกับฆ่าตัวตายได้

หลวงจิจิตร วาทการ จึงสอนเราในโคลงกลอนอีกตอนหนึ่งว่า
สองคนยนตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม
อีกคนตาแหลมคม เห็นดวงดาวพราวแพรว

4. Positive Thinking 
เป็นของฟรี
แทบไม่ต้องลงทุนเลย แต่สามารถนำไปเพิ่มคุณค่าแก่ชีวิตทุก ๆ ด้าน 
เพียงแต่เรา เราต้องเริ่มต้นและฝึกหัด จากสิ่งที่ใกล้ตัวเราในชีวิตประจำวัน 
เช่นการฝึกใช้คำพูดในทางบวก และมีความเชื่อมั่นเสมอ เช่นแทนที่จะพูดว่า "ผมจะพยายามเลิกบุหรี่ให้ได้"
เราควรพูดให้หนักแน่นว่า "ผมต้องเลิกบุหรี่ให้ได้"
ขณะเดียวกันเราต้องเลี่ยงคำพูดที่ดูถูกตนเอง เช่น "ผมเป็นแค่คนขายของชำ จะไปช่วยสังคมได้อย่างไร" 
เราอาจพูดว่า "ผมขายของชำ แต่ผมก็มีส่วนในการพัฒนาชุมชนของเรา"
เมื่อฝึกบ่อย ๆ เข้า เราก็จะเห็นโอกาส และสิ่งดี ๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา ในคนข้างเคียง และในสิ่งแวดล้อมของเรา
เช่นมีคนพูดว่า "ในน้ำเน่า ยังมีเงาจันทร์"
หรือ "ศิลปินไม่หมิ่นศิลปะ กองขยะมองดี ๆ ยังมีศิลป์"
ในภาษาอังกฤษมีประโยคที่มีความหมายคล้ายกันคือ Every cloud have a silver lining.

5. Positive Thinking 
เป็นปฏิกิริยายาลูกโซ่
ที่ทำให้คนข้างเคียงเกิดการเลียนแบบ มีผลต่อการพัฒนาตัวเราเองและคนข้างเคียงเกิดการเลียนแบบ 
มีผลต่อการพัฒนาตัวเราเอง และคนข้างเคียงและสังคมโดยรวม 
นอกจากนั้นยังมีผู้กล่าวว่า ความคิดของคนเราที่คิดด้วยความเชื่อมั่นในทางบวก
เหมือนมีกระแสแม่เหล็กที่ถึงคนที่คิดในลักษณะเดียวกันให้เข้ามาหากัน 
เกิดเพิ่มกลุ่มแกนที่คิดในทางบวกมาเสริมกัน ทำให้มีพลังขับเคลื่อนสังคมไปในทางที่ดี

จิตแพทย์ อลัน ลอยด์ แมกกิมพัส 
ได้ศึกษาคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต 
พบความจริงว่าส่วนใหญ่ เคยประสบความล้มเหลวมาแล้วอย่างโชกโชน 
แต่ไม่ยอมท้อถอย พยายามกระตุ้นตนเองให้ผ่านภาวะวิกฤต 
ได้รวบรวมแนวคิดและวิธีของคนเหล่านั้น ดังนี้คือ

1. เปลี่ยนความล้มเหลว ให้เป็นโอกาส
เช่น ชายคนหนึ่งพนักงานขายของบริษัทรองเท้าแห่งหนึ่ง
ทางบริษัทส่งเขาไปขายรองเท้า ณ เกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งชาวเกาะยังไม่รู้จักใส่รองเท้า 
เขากลับมารายงานผู้จัดการด้วยความข้องใจว่า 
"เราคงขายของไม่ได้ เพราะชาวเกาะเขายังไม่รู้จักใส่รองเท้าเลย" 
ผู้จัดการจึงให้ซองขาว ให้เขาลาออกไปหางานอื่น และส่งพนักงานคนใหม่ ไปยังเกาะดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง 
พนักงานคนที่สองก็กลับมารายงานด้วยความตื่นเต้นว่า 
"ผู้จัดการครับ ชาวเกาะนี้ยังใส่รองเท้าไม่เป็น เราต้องรีบเข้าไปสอนเขาให้ใส่รองเท้าเป็น แล้วเราจะได้ครองตลาดเป็นบริษัทแรก"


วิกฤตเศรษฐกิจในประเทศไทยยุค IMF เมื่อฟองสบู่แตก 
ก็น่าเป็นโอกาสให้คนไทย และองค์กรที่รับผิดชอบสังคมและเศรษฐกิจได้มาทบทวนข้อผิดพลาด และเดินแนวทางใหม่
เพื่อเราจะได้ก้าวเดินต่อไปด้วยความมั่นคง

วิกฤตการแพร่ระบาดของยาบ้าและสิ่งเสพย์ติดอื่นๆ 
ทำให้มีการลงทุนให้นักวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ มาศึกษาเรื่องของสมองและยาเสพย์ติด 
ทำให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ ที่อาจนำไปสู่การรักษายาเสพย์ติด
โรคจิต โรคประสาท และเข้าใจเรื่องสมองและจิตใจมนุษย์ได้ดีขึ้น
2. จงสนใจเฉพาะแต่สิ่งที่เป็นไปได้
คนบางคนชอบซัดทอดความผิดไปที่คนอื่น ซึ่งเราเข้าไปแก้ไข ควบคุมได้ยาก 
แต่ถ้าวิเคราะห์ความผิดพลาดล้มเหลวแล้ว
ควรจะตั้งคำถามว่า มีอะไรที่เราสามารถทำได้ และช่วยแก้สถานการณ์ให้กลับดีขึ้นมาได้
โทมัส คาร์ไลล์ เป็นนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ 
เขียนต้นฉบับเกี่ยวกับ "ประวัติของการปฏิวัติฝรั่งเศส" 
วันหนึ่งคนรับใช้ ได้เผลอทำต้นฉบับซึ่งมีอยู่ชุดเดียวไปทิ้งไฟ
ทำให้เขารู้สึกหมดอาลัยตายอยากในชีวิต 
แต่ต่อมาเขาก็หักใจได้ แล้วค่อย ๆ มาเริ่มต้นเขียนใหม่ คำต่อคำ ประโยคต่อประโยค 
จนประสบความสำเร็จ กลายเป็นหนังสือที่ยิ่งใหญ่เล่มหนึ่ง
3. การไปพักผ่อนหรือเปลี่ยนวิถีชีวิต
เช่นไปเดินท่ามกลางธรรมชาติ สูดกลิ่นไอดิน กลิ่นหญ้าฟาง
เดินลุยน้ำกลางลำธาร ภายใต้สายลม แสงแดด ฟังเสียงนกร้อง 
สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ร่างกายและจิตใจได้รับการฟื้นฟู ท่านอาจจะ
หายจากความดันโลหิตสูง โรคนอนไม่หลับ หรือโรคอ่อนเพลียเรื้อรังได้
เมื่อร่างกายรู้สึกสดชื่น จิตใจ และวิญญาณย่อมได้รับการฟื้นฟูเช่นเดียวกัน
ความคิดที่ออกมาก็เป็นความคิดในทางบวก ที่มีพลังสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น
4. จงช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่ลำบากกว่าเรา
จะช่วยให้เราลืมความทุกข์ที่รุมเร้า และมีชัยชนะโดยง่าย
เช่น คนไข้รายหนึ่ง ค้าขายวัสดุก่อสร้างด้วยความขยัน 
วันหนึ่งเกิดไฟไหม้โกดังสินค้าเสียหาย ขาดทุนมากมายเป็นความทุกข์ที่ทำให้ผู้ป่วยมี
อารมณ์ซึมเศร้ามาก และหลายครั้งอยากฆ่าตัวตาย
ในช่วงนั้นประมาณปี พ.ศ.2530 เกิดพายุถล่มหมู่บ้านชายทะเลจังหวัดชุมพร
บ้านเรือนพังพินาศหมด และสวนมะพร้าวล้มลงไปนอนกับพื้นดินเสียหายหมด 
คนที่เคยมีรายได้ดีจากสวนมะพร้าวก็หมดเนื้อหมดตัว และไม่มีบ้านพักพิงกายด้วย
ผู้ป่วยรายนี้ได้เห็นความทุกข์ของชาวชุมพรดังกล่าวแล้ว ก็ทำใจได้กับความทุกข์ของตนเอง 
จึงหยุดที่จะนำอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วมาซ้ำเติมปัจจุบัน ให้มีทุกข์ซ้ำซากต่อไปอีก
5. จงนับส่วนที่ท่านมี อย่านับส่วนที่ท่านขาด
ในชีวิตจริงนั้น คนส่วนใหญ่มีส่วนที่ดี และส่วนที่บกพร่อง และส่วนที่มีส่วนที่ขาด
คละกันไป แต่วิธีมองนั้นทำให้คนมีชีวิตที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
คนที่มองส่วนที่มีก็จะรู้จักชื่นชมยินดี ส่วนคนที่มองแต่ส่วนที่ขาดก็จะนำไปเทียบกับคนอื่นที่มีมากกว่า 
ทำให้เกิดความอิจฉา เกิดความทุกข์ใจ น้อยใจ 
เช่นคนหนึ่งบ่นน้อยใจที่ตนเองไม่มีเงินซื้อรองเท้าดี ๆ มาใส่ ใส่แต่รองเท้าเก่า ๆ ขาด ๆ 
จนกระทั่งวันหนึ่งไปเห็นคนที่ไม่มีแม้แต่เท้า (คนขาด้วน) จะใส่รองเท้า จึงเลิกบ่นเรื่องรองเท้าเก่าของตนเอง
ผู้เขียนเชื่อว่าตัวอย่างและมุมมองของหลายท่านที่กล่าวถึง 
คงจะช่วยให้ท่านผู้อ่านได้มองเห็นศักยภาพของท่านเอง และผู้คนรอบด้าน
อันจะทำให้ท่านมีพลังที่จะผลักดันชีวิตไปสู้ความสำเร็จ และสุขสมหวังดังตั้งใจ 
และชีวิตของท่านเป็นตำนานอีกเล่มหนึ่งที่เติมไฟให้อีกหลายชีวิต 
ที่ตามท่านไปสู้ความสำเร็จเช่นเดียวกัน

ทำบุญง่าย ๆ สไตล์หลวงปู่ดู่

ทำบุญง่าย ๆ สไตล์หลวงปู่ดู่



วิธีเพิ่มพลังบุญทวีคูณให้กับชีวิตอย่างง่ายๆ

1. การเพิ่มพลังบุญแบบไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว

เคล็ดวิชานี้ เป็นของท่านหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านสอนไว้ว่า
-เวลาตื่นเช้ามาขณะล้างหน้าหรือดื่มน้ำให้ท่องว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อชีวิตในวันใหม่
-ก่อนกินข้าว ก็ให้นึกถวายข้าวแด่พระพุทธเจ้า
-ออกจากบ้าน เห็นคนอื่นเค้ากระทำความดี เป็นต้นว่าเห็นเค้าใส่บาตรพระ จูงคนแก่ข้ามถนน ก็ให้นึกอนุโมทนากับเขาด้วย
-เดินผ่านเห็นดอกไม้บูชาพระวางขายอยู่ ก็ให้เอาจิตนึกอธิษฐานขอถวายดอกไม้เหล่านั้นเป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า พุทธัสสะ ธัมมัสสะ สังฆัสสะ ปูเชมิ แล้วอย่าลืมอุทิศบุญให้พ่อค้า แม่ค้าดอกไม้นั้นด้วย
-เวลาไปไหนมาไหน เห็นไฟข้างทางก็ให้นึกน้อมถวายไฟเหล่านั้นบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า โอม อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธัมมะบูชา สังฆบูชา

2. การเพิ่มพลังบุญด้วยเงินน้อย แต่ได้อานิสงส์ยิ่งใหญ่
การสร้างบุญที่เป็นมหากุศล อาทิเช่น การสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ พระมหาเจดีย์ สร้างยอดฉัตรหรือสร้างศาสนสถานอื่นใดก็ตาม รวมถึงธรรมทานด้วย เพื่อลดวิบากกรรมหนักๆ สามารถทำได้ แม้แต่ผู้ที่มีเงินน้อย การทำบุญนี้ ไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินมาก เหมือนที่หลายๆคนในปัจจุบันเข้าใจและติดเป็นค่านิยมกัน การทำบุญทุกอย่าง ไม่ว่าจะบุญเล็ก บุญใหญ่ ให้ทำตามแต่กำลังของเราที่สามารถจะทำได้ และต้องไม่เดือดร้อนตัวเอง แม้แต่เงินสลึงเดียวก็สามารถสร้างมหากุศลได้ ขอให้เพียงเงินนั้นบริสุทธิ์ ไม่ได้ไปเบียดเบียนของใครมาก็พอ และที่สำคัญเจตนาตอนที่ทำ ต้องบริสุทธิ์ มีความยินดีในบุญที่ทำ เกิดความสุขและความอิ่มเอมใจ นั่นแหละมหากุศลทั้งสิ้น

แต่ถ้าไม่มีเงินจริงๆ ก็ยังสร้างมหากุศลได้ โดยการใช้แรงกายแรงใจในการช่วยก่อสร้าง หรือแม้แต่การไปชักชวน ป่าวประกาศให้คนมาร่วมสร้างบุญ และขออนุโมทนาบุญกับคนเหล่านั้นด้วยทุกครั้ง ก็จะได้บุญมากเช่นเดียวกัน อยู่ที่เจตนาและความตั้งใจเป็นที่ตั้ง สรุปสั้นๆ ว่า การทำบุญนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าใดก็ได้บุญเช่นกัน ยิ่งการทำบุญใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมากมากหรือสังคม บุญนั้นก็จะมากขึ้นทวีคูณ ไม่มีวันหมด อาทิเช่น สังฆทาน สร้าง โรงทาน วิหาร อุโบสถ ถนน เป็นต้น จนกว่าสิ่งก่อสร้างหรือศาสนสถานนั้นๆที่ร่วมสร้างจะพังทลายไป

3. การสวดภาวนา ให้ได้บุญมากขึ้น
การสวดภาวนา คาถาศักดิ์สิทธิ์ หรือมนตราอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ถ้าได้ทำอย่างถูกวิธีนั้น จะเป็นการเพิ่มบุญให้กับตัวเอง เพราะพลังบุญ พลังอำนาจของพระคาถาและมนตรานั้น จะถูกดึงเข้าสู่ตัวผู้สวดด้วย

เคล็ดวิธีมีอยู่ว่า โดยก่อนสวดนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิที่พร้อมจะสวดแล้ว ขอให้ตั้งจิตให้มั่นแล้วอุทิศบุญทั้งหมดที่ตนเคยทำมานั้น ส่งให้แด่ครูบาอาจารย์ ผู้เป็นเจ้าของคาถาหรือมนตรานั้นๆด้วย ซึ่งเป็นการเชื่อมบุญรูปแบบหนึ่ง และหลังจากนั้น ก็อธิษฐานขอมีส่วนร่วมในบุญของท่าน และขอมีส่วนร่วมในบุญของผู้อื่นที่ได้สวดคาถาและมนตราศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย เมื่อใดตามที่มีคนอื่นสวดและกระทำเหมือนกับเรา เราก็ได้บุญเพิ่มทุกครั้ง

4.การทำบุญด้วยการต่อชีวิตสัตว์ ให้ได้บุญมากขึ้น
การทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์หรือต่อชีวิตสัตว์นั้น หลายคนเรียกว่า เป็นการสะเดาะเคราะห์ ซึ่งก็แล้วแต่จิตจะพาไป แต่ในความเป็นจริงก็คือ เป็นการทำบุญใหญ่ เป็นการช่วยต่อชีวิต ต่อโชคชะตา ให้เวลากับสัตว์ที่กำลังจะถึงตายให้ได้มีชีวิตอีกครั้ง และเคล็ดลับสำคัญก็คือ ก่อนที่จะปล่อยสัตว์นั้นๆ เมื่อได้ซื้อมาหรือเจอ ณ ที่ใดก็ตาม ให้นำไปถวายกับพระสงฆ์เสียก่อน เพื่อเพิ่มบุญให้มากขึ้น เหตุเพราะว่าพระสงฆ์ที่รับนั้นท่านบริสุทธิ์ และมีศีลมากกว่าเรา ท่านย่อมมีบุญมากกว่าเรา ยิ่งเป็นพระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญมากแล้ว บุญนั้นจะเพิ่มเป็นหลายเท่า จากนั้นก็ขอผาติกรรมชำระหนี้สงฆ์ซื้อคืนมาจากท่าน ด้วยเงินเท่ากับจำนวนที่เราซื้อสัตว์นั้นๆมา วิธีนี้เป็นการเพิ่มบุญอีกเท่าตัว ได้ทั้งทำบุญต่อชีวิตสัตว์ และชำระหนี้สงฆ์ด้วย หลังจากนั้นก็นำไปปล่อยในที่อันสมควร

อานิสงส์ของการทำบุญด้วยวิธีนี้ ถ้าใครที่ทำได้ตามนี้ บุญที่ได้จะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า จากการที่ไปซื้อมาแล้วก็ไปปล่อยตามยถากรรม วิธีนี้นอกจากได้บุญน้อยแล้ว แถมยังได้บาปกลับมาด้วย ดังนั้นจะทำบุญทั้งที ควรฉลาดในการทำบุญด้วย

5. การทำสังฆทานให้ได้อานิสงส์บุญมากขึ้น
การทำสังฆทานควรทำให้ครบทั้งปัจจัยสี่ มีอาหาร( คาว-หวาน-ผลไม้-น้ำ ) ,เครื่องนุ่งห่ม ( ผ้าไตรจีวร หรือ ผ้าขนหนูสีสุภาพ ) , ยารักษาโรค , ที่อยู่อาศัย ( บ้านหลังเล็กๆ ซื้อได้ตามร้านสังฆภัณฑ์ เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยทิพย์ให้กับเจ้ากรรมนายเวร เค้าจะได้มีที่พักพิง ไม่มารบกวนเราอีก ) และควรเพิ่มหนังสือธรรมะเข้าไปด้วยเพื่อให้จิตใจของเจ้ากรรมนายเวรซึ้งในรสพระธรรม มีจิตใจที่เย็นสบายพ้นทุกข์

เคล็ดลับสำคัญ เครื่องสังฆทานและอาหารเหล่านี้ เราควรที่จะต้องไปถวายแด่พระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญสูง แต่ถ้าหาไม่ได้หรือไม่ทราบ ให้เรานั้นตั้งจิตอธิฐานถวายแด่พระพุทธเจ้าโดยตรงและ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือครูบาอาจารย์ที่เรานับถือ เพื่อให้อานิสงส์ของบุญจะได้มากขึ้นทบทวี และหลังจากนั้นก็ให้อุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งหมด และควรกรวดน้ำหลังทำบุญทุกครั้งเพื่อให้พระแม่ธรณีและเทพเทวาทั้งปวงท่านเป็นพยานในการทำบุญครั้งนี้

สรุป 
เมื่อท่านได้ทราบว่า ทำบุญอะไร แล้วได้รับอานิสงส์ของการทำบุญเป็นอย่างไร สมควรช่วยประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นได้ทราบด้วย เพราะเป็นการให้คนได้รู้ถึงอานิสงส์ของทำบุญในแต่ละอย่าง จะได้จำสืบต่อกันไปอย่างถูกต้อง

ดังนั้น จึงสรุปว่า การทำบุญอะไรก็ตาม เมื่อได้ทำบุญแล้ว ก็ได้รับผลบุญในทันที กล่าวคือ ขณะที่ทำบุญนั้น สภาพจิตของเราตรงนั้นเป็นอย่างไร สุขใจไหม สบายใจไหม ภูมิใจไหม ตรงนี้ไม่ต้องถาม หวังว่า ท่านที่เคยทำบุญมาแล้วก็จะตอบตนเองได้อย่างแจ่มแจ้งทีเดียว

เมื่อเราได้ทำบุญ ผลของการทำบุญ จะให้อานิสงส์ไม่เหมือนกัน บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยตรง แต่บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยอ้อมไม่ตรงทีเดียว ในเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่า อานิสงส์แห่งการทำบุญนั้นไม่เหมือนกัน และผลบุญที่เราได้ทำนั้น รอให้ผลอยู่ตลอดเวลาแก่ผู้ที่ได้ทำบุญไว้ ตราบเท่าที่ยังมีผลบุญอยู่ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำบุญไว้ ถ้าไม่ประมาท ถึงแม้ไม่มีอะไรจะทำบุญ เพียงแต่เห็นคนอื่นเขาทำบุญ แล้วทำใจให้เลื่อมใส ก็เป็นอันได้ทำบุญเหมือนกัน บุญชนิดนี้ เรียกว่า บุญด้านปัตตานุโมทนามัย ( บุญจากการอนุโมทนาบุญ )

ขอบคุณข้อมูลจาก :

http://www.fungdham.com/
http://www.d.igetweb.com/
www.morgangaiyasit.com/forum/viewtopic.phpid=160

ดูดสารพิษในบ้านง่าย ๆ ด้วยต้นไม้เล็ก ๆ

ดูดสารพิษในบ้านง่าย ๆ ด้วยต้นไม้เล็ก ๆ

ปลูกต้นไม้เพิ่มอากาศบริสุทธิ์ในบ้าน 

เริ่มจากใน สำนักงาน ควรปลูก ต้นจั๋ง(Lady Palm) เพราะ ช่วยปรับสภาพอากาศให้ที่ร่มได้ดี ลดมลภาวะที่เกิดจากเครื่องใช้สำนักงาน เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องคอมพิวเตอร์ น้ำหมึกพรินเตอร์ ฯลฯ ได้เป็นอย่างดี

สำหรับ ห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศ ควรปลูก ยางอินเดีย (Rubber Plant) เพราะมีคุณสมบัติช่วยทำให้อากาศในห้องหมุนเวียนดีขึ้น และยังเพิ่มความชื้นให้อากาศในห้องไม่แห้งจนเกินไป

มาต่อกันที่ ห้องนอน ควรปลูก เยอร์บีรา นอกจากมีความสวยงามแล้ว ต้นไม้ชนิดนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชื้น ปรับสภาพอากาศ และดูดกลิ่นอับภายในห้องได้อีกด้วย

ห้องน้ำ ควรปลูก เฟิร์น พลูด่าง เศรษฐีเรือนใน ที่มีคุณสมบัติช่วยดูดซับอากาศเป็นพิษที่เชื้อโรคปล่อยออกมา และสารเคมีจากน้ำยาทำความสะอาดผนังและพื้นห้อง

ห้องครัว ควรปลูก บอสตัน เฟิร์น (Boston Fern) เพราะจะช่วยดูดกลิ่นเขม่าควันจาการทำอาหาร และดูดซับสารเคมีจากน้ำยาล้างจาน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องครัว

ปิดท้ายด้วย ทุกห้อง ควรปลูก เดหลี (Peace Lily) ช่วย ดูดซับสารเคมีในอากาศที่มาจากผลิตภัณฑ์และวัสดุตกแต่งบ้าน พลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า น้ำยาทำความสะอาด เครื่องสำอางบางชนิด เช่น สเปรย์ มูสใส่ผม น้ำยาล้างเล็บ เป็นต้น

เพียงแค่ปลูกต้นไม้ถูกหลัก ในจุดต่างๆนี้ คุณก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อเครื่องฟอกอากาศราคาแพง และบ้านก็จะมีอากาศบริสุทธิ์อย่างเป็นธรรมชาติ

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.dailynews.co.th/

เปิดตำนานรัก"มะเมี๊ยะ"โศกนาฏกรรมแห่งล้านนา ของหญิงสาวชาวพม่ากับเจ้าชายเมืองเชียงใหม่

Subject: เปิดตำนานรัก"มะเมี๊ยะ"โศกนาฏกรรมแห่งล้านนา ของหญิงสาวชาวพม่ากับเจ้าชายเมืองเชียงใหม่    
  
เปิดตำนานรัก"มะเมี๊ยะ"โศกนาฏกรรมแห่งล้านนา ของหญิงสาวชาวพม่ากับเจ้าชายเมืองเชียงใหม่     

ตอนนั้นเชียงใหม่เป็นประเทศราชของสยาม   ทางเชียงใหม่ส่ง  เจ้าดารารัศมี    ซึ่งเป็นเจ้าอาของเจ้าน้อยไปอภิเษกกับ ร. 5  เป็นการผูกสัมพันธ์   ตอนนั้นเจ้าดารารัศมีอายุแค่ 13 เอง...โอ้! จอร์จ นี่เรื่องจริงตามประวัติศาสตร์เลยนะ เจ้าน้อยถูกส่งไปเรียนที่ รร.เซนต์แพทริก เป็น รร.แคธอลิกของฝรั่งที่พม่า โดยแอบส่งไป ขี่ช้างไป เพราะตอนนั้นพม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษซึ่งมีเรื่องกับไทยอยู่ 

        เจ้าน้อยไปตอนอายุ 15 เพราะทางบ้านต้องการให้ได้ภาษาอังกฤษ    เพราะค้าขายกะพม่า เจ้าน้อยเรียนอยู่หลายปี วันหนึ่งไปเดินเล่นที่ตลาด ได้พบมะเมี้ยะแม่ค้าสาวสวย  ซึ่งเพิ่งมาจากตองอู   เจ้าน้อยอายุ 19 มะเมี๊ยะอายุ 15 ก็ตัดสินใจแต่งงานกัน จนอายุ 20 เรียนจบถูกเรียกกลับเชียงใหม่    เจ้าน้อยเลยเอาเมียกลับมาด้วย โดยให้ปลอมเป็น เด็กรับใช้ชาย เอาเมียไปแอบในเรือนเล็ก   โดยไม่รู้เลยว่าเจ้าพ่อเจ้าแม่ได้หมั้นเจ้าบัวนวลเอาไว้ให้ 
เจ้าน้อยไม่ยอมแต่งงาน    เลยเปิดเผยว่ามีเมียแล้วคือมะเมี้ยะ เอามะเมี้ยะมากราบเจ้าพ่อเจ้าแม่แต่ไม่ได้รับการยอมรับ 

        เรื่องนี้ไปถึงสยาม ร. 5 กะเจ้าดารารัศมีเห็นว่าไม่ควร     เลยส่งผู้สำเร็จราชการมาเจรจา บอกว่าเจ้าน้อยจะมีเมีย กี่คนไม่ใช่ปัญหาแต่ต้องไม่ใช่สาวพม่า เพราะว่าคนพม่า ถือสัญชาติอังกฤษ เดี๋ยวอังกฤษจะถือโอกาสแทรกแซง ว่าแต่งกะพม่า ก็ต้องถือว่าเป็นพม่าด้วย   ไปอยู่กะเมียที่ พม่าก็ไม่ได้     ที่สำคัญเจ้าน้อย เป็นเจ้าชายของล้านนา    ถูกวางตัวไว้ให้เป็นรัชทายาทล้านนา เท่ากับว่าสยามอาจต้องเสียเชียงใหม่ให้อังกฤษ    ก็เลยบังคับส่งมะเมี้ยะกลับพม่า     เจ้าน้อยสัญญาว่าอีก 3 เดือนจะไปรับมะเมี้ยะกลับ ทั้งคู่สาบานกันไว้ว่าจะไม่รักใครอื่น หากใครผิดคำสาบานขอให้อายุสั้น ตอนที่จะส่งมะเมี้ยะกลับพม่านั้นตรงนี้เป็นส่วนของตำนานเลย 

        " ตอนนั้นมะเมี้ยะโพกผมไว้พอจะไปก็ก้มลงกราบเท้า   เจ้าน้อยที่ประตูเมือง ชาวบ้านออกมามุงกันทั้งเมืองเพราะได้ยินว่ามะเมี้ยะงามจ๊าดนัก พอกราบเสร็จ ก็เอาผ้าโพกผมออก  แล้วสยายผมเอามาเช็ดเท้าเจ้าน้อย จงรักภักดีบูชาสามีสุดชีวิต แล้วก็กอดขาร้องไห้ เจ้าน้อยเองก็ร้อง   ทำเอาคนที่มามุงร้องไห้  ไปทั้งเมืองด้วยความสงสารความรักของทั้งคู่ " 

         ต่อมาเจ้าน้อยโดนเรียกไปสยาม พอเข้าไปก็โดนจับแต่งงาน     เจ้าดาราฯ จัดเจ้าบัวชุม ซึ่งเป็นพระญาติ และเป็นสาวที่สวยที่สุดในตำหนักเจ้าดารารัศมี ร่ำลือกันว่าเล่นดนตรีไทยเก่ง แต่ดูรูปแล้วถ้ามาสมัยนี้ ถือว่าหน้าตาธรรมดาอ่ะ ถ้าในสมัยที่ผู้หญิงไม่มีศัลยกรรมคงจัดว่าสวย แต่ที่นี่แน่ๆ มินิไซค์มากๆ สาวๆ สมัยนั้น 

         ด้วยเหตุนี้เจ้าน้อยก็เลยต้องแต่งแล้วถูกกักอยู่ที่นั่น ตอนนั้นเจ้าพ่อของเจ้าดาราฯ สิ้นพระชนม์ พระญาติทางสยาม ไม่อนุญาตให้เจ้าล้านนาพระองค์ใดในวังขึ้นไปประกอบพิธีปลงพระศพ เป็นเรื่องการเมืองเตะถ่วงการแต่งตั้งเจ้าครองแคว้นคนใหม่เอาไว้ระยะ หนึ่ง     เจ้าอาของเจ้าน้อยได้ขึ้นเป็น เจ้าองค์ใหม่     เจ้าพ่อได้เป็นเจ้าราชบุตร(อุปราช)    เท่ากับว่าเจ้าน้อยเป็นรัชทายาทอันดับ 3 ถ้าสิ้นเจ้าสองพระองค์นี้เจ้าน้อยจะครองเชียงใหม่ ก็ยิ่งไม่มีทางได้รับมะเมี้ยะกลับมา 

         มะเมี้ยะรอเกิน 3 เดือนแล้วเจ้าน้อยไม่มาตามสัญญาเลยไปบวชชี เพื่อพิสูจน์รักแท้ว่าจะไม่มีคนใหม่ 

         ต่อมา...เมื่อได้ยินว่าเจ้าน้อยกลับเชียงใหม่แล้วเลยมาดักที่คุ้ม  แต่เจ้าน้อยไม่ยอมออกมาพบ รอนานเท่าไรก็ ไม่ยอมออกมา จริงๆ แล้วเจ้าน้อยแอบดูอยู่ข้างหน้าต่าง   ได้แต่ร้องไห้ไม่กล้าสู้หน้าที่ผิดสัญญา   ก็เลยฝากให้ท้าวบุญสูงพี่เลี้ยง เอาแหวนทับทิม กับเงินอีก 1 กำปั่น( 800 บาท) ไปให้แม่ชีมะเมี้ยะ ทางด้านแม่ชีบอกว่าไม่มาขอรักคืน เพียงแต่มาถอนคำสาบานให้ 

        เจ้าน้อยฝากมาบอกแม่ชีว่า เงินนี่ทำบุญตามแต่แม่ชีจะใช้สอยเรียกว่าบริจาคในฐานะโยมอุปฐาก ส่วนแหวนให้แทนใจว่า   หัวใจอยู่กับมะเมี้ยะเสมอ แม่ชีเสียใจมาก รับไปแต่แหวนไม่รับเงิน   สมัยก่อน 800 คงเยอะมากว่ะ 100 ปีก่อนคง 8 แสนล่ะมั้ง เงินเดือนคนสมัยนั้น 4 บาทเอง 

      เจ้าน้อยหลังจากกันกับแม่ชีคราวนั้น.....ก็เอาแต่กินเหล้าไม่มีใจรักเจ้าบัว ชุม ในที่สุดก็ตรอมใจตายหลังจากแต่งงานได้ไม่กี่ปีในขณะที่อายุแค่ 30 ปีเท่านั้นเอง 

      ในบันทึกบอกว่าสิ้นพระชนม์ด้วยโรคพิษสุรา อีก 6 ปีต่อมาหลังจากพบแม่ชีมะเมี้ยครั้งสุดท้าย ส่วนแม่ชีมะเมี้ยะ... บวชจนสิ้นอายุขัยเมื่อ 73 ปี 

       เศร้ามะ ? เรื่องนี้ไม่มีตัวอิจฉามีแต่คนหัวใจสลาย 

      ผู้บันทึกเรื่องนี้คือ เจ้าบัวนวล คู่หมั้นคนแรกที่ถอนหมั้นไปหลังจากรู้ว่าเจ้าน้อยมีมะเมี้ยะ... ส่วนเจ้าบัวชุมไม่ผิดอะไรเลย แต่สามีไม่รักก็อยู่เป็นข้าบาทจาริกาจนอายุ 81 ปี 

      เจ้าบัวนวลว่า  ตลอดชีวิตเจ้าน้อยรักผู้หญิงคนเดียวจนสิ้นลม คือ มะเมี๊ยะหลังจากนั้นเรื่องของเจ้าน้อยกับมะเมี้ยะ ก็ถูกสั่งห้ามพูดถึงไปหลายปีเพราะเป็นเรื่องทางการเมือง    ต้องปิดบัง      รายละเอียดเลยหายไป  เหลือแต่ตำนาน  อุปสรรคความรักของเจ้าน้อยกับมะเมี้ยะ ไม่ใช่ฐานันดร ไม่ใช่เชื้อชาติ แต่เป็นการเมืองแท้ๆ 

       เศร้าเนอะ ความรักในตำนานมักจบลงด้วยความเศร้าสลด ทั้งที่รักเดียวทั้งสองฝ่าย น่าสงสารจริงๆ เรื่องนี้มีแต่คนน่าสงสาร เจ้าบัวชุมเมียแต่งก็น่าสงสาร ทางเจ้าดารารัศมี มีบันทึกไว้แค่ว่าทรงไม่คิดว่าเจ้าน้อย จะปักใจมั่นกับมะเมี้ยะขนาดนี้ เจ้าดารารัศมีทรงคิดว่าหลายปีผ่านไป และได้ภรรยาที่ดีพร้อมก็คงลืม ความรักครั้งแรกได้ แต่เจ้าน้อยไม่ลืมจนสิ้นชีวิต 

       เจ้าบัวนวล คู่หมั้น เมื่อแรกรู้สึกเสียหน้าแต่หลังจากนั้นก็รู้สึกเห็นใจและศรัทธาในรักแท้ของ เจ้าน้อย จริงๆ แล้วเราแอบคิดว่า   ถ้าเจ้าน้อยโกหก ให้มะเมี้ยะหนีเข้าเมืองเถื่อนแล้วปลอมเป็นสาวไทย ให้เป็น เมียบ่าว เรื่องก็จบแต่มันเป็นเพราะ...เจ้าน้อยต้องการมีภรรยาคนเดียว คือ...มะเมี้ยะ 

        หายากมากผู้ชายสมัยนั้น  เรื่องรักเดียวเนี่ยแต่ก็เป็นไปตามคำสาบานนะ ผิดรักไปแต่งกับหญิงอื่นเลยอายุสั้น รูปหล่อ รักเดียว รักจนตาย ยังกะนิยายเศร้าจริงๆๆๆ...ว่าแล้วก็เผื่อแผ่ความเศร้าให้คนอื่นบ้าง 

         สังเกตมั้ยว่า ความรักที่เป็นตำนาน...มักจะมีจุดจบที่เศร้ารันทดใจ รักแฮ้ปปี้มันคงไม่กินใจพอที่จะเป็นตำนาน...สำหรับเราขอมีความสุขดีกว่าเป็น ตำนาน..เฮ้อ...อ 

แต่น่าเสียดาย...ไม่มีรูปมะเมี้ยะ คาดว่าเป็นสามัญชนคนธรรมดาเลยไม่มีรูปถ่ายเก็บไว้เป็นหลักฐานบ้าง ไม่งั้นคงได้เห็นว่ามะเมี๊ยะงามจ๊าดแค่ไหน.... แต่บางทีการไม่เห็นหน้า... 
จินตนาการอาจทำให้มะเมี๊ยะสวยงามยิ่งในความทรงจำของผู้ที่ได้รู้เรื่องราวเธอก็ว่าได 
ณ วันนี้... 99 ปีผ่านไป เจ้าน้อยกับมะเมี๊ยะ คงได้พบกันบนเส้นทางสายดวงดาวแล้ว 
ความรักครั้งหน้า...ขอให้ไร้อุปสรรคทั้งปวง สมกับที่รอคอยกันมาแสนนาน 

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

มองต่างมุมอย่างคนคิดบวก

มองต่างมุมอย่างคนคิดบวก

เมื่อครั้งก่อนได้เคยเขียนไปว่า 
การคิดบวกเป็นเรื่องง่ายที่คนเราชอบทำเป็นเรื่องยาก 
บางครั้งการเปลี่ยนความคิดก็เป็นเรื่องที่ยากสำหรับคนบางคน 
ทั้งๆที่บางครั้งในสิ่งเดียวกันเราสามารถมองได้ถึง ๒ แบบ ทั้งแบบลบและแบบบวก 
มีคนบอกว่า แก้วน้ำใบหนึ่งมีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว 
คนหนึ่งเห็นอาจบอกว่า มีน้ำ"แค่"ครึ่งแก้ว 
ในขณะที่อีกคนหนึ่งอาจบอกว่า มีน้ำ"ตั้ง"ครึ่งแก้ว 
แค่พยางค์เดียวที่แตกต่างกัน ระหว่างคำว่า "แค่"กับ"ตั้ง" แต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 
แค่ครึ่งแก้วกับตั้งครึ่งแก้วสะท้อนถึงมุมมองของคนที่พูดได้อย่างเห็นได้ชัด 
เพราะมุมมองที่แตกต่างกัน เราจึงมองเห็นภาพๆหนึ่งแตกต่างกัน 
คนส่วนใหญ่เมื่อต้องเผชิญกับปัญหา หรือเมื่ออยู่ในภาวะทุกข์ใจ 
มักจะจำกัดความคิดถึงแต่ความผิดพลาด ความล้มเหลว ชอบเปรียบเทียบ
ชอบคิดว่าปัญหาของตนเองนั้นเป็นปัญหาใหญ่ เป็นเรื่องที่ลำบากมาก ทุกข์ทรมานมาก
มักจะมองเห็นแต่เรื่องของตนเองจนลืมมองเห็นความทุกข์ของคนอื่น 
หากเราเปลี่ยนมุมมองสักนิด เปิดจุดโฟกัสของสายตาให้กว้างอีกหน่อย
ลองพาตัวเองออกมาสู่โลกกว้าง คุณอาจจะได้เจอผู้คนที่เค้าทุกข์ทรมานกว่าคุณหลายเท่านัก 
ทุกข์ของคุณอาจแค่โดนเจ้านายบ่น
ทุกข์ของคุณอาจเป็นแค่หมุนเงินผ่อนบ้าน ผ่อนรถไม่ทัน 
ในขณะที่ทุกข์ของคนอื่นอาจไม่มีที่ซุกหัวนอน 
ทุกข์ของคนอื่นไม่โอกาสได้เรียนหนังสือ ไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของสมบัติใดๆ 
ไม่มีแม้กระทั่งอาหารยาไส้
หากคิดได้อย่างนี้คุณจะรู้สึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้คุณเป็นคุณได้อย่างทุกวันนี้
บางครั้งคนเราก็ต้องสร้างมุมมองใหม่ให้กับชีวิต เป็นมุมมองที่ไม่ทุกข์ 
ไม่ต้องหาความสุขจากที่ไหนหรอกค่ะ แค่คุณเปลี่ยนมุมมองในชีวิต 
มองต่างมุมอย่างคนคิดบวก แล้วคุณจะได้รู้สึกได้ว่า คุณเป็นคนโชคดีที่มีความสุขได้กับทุกๆสถานการณ์
คุณเป็นคนโชคดีที่มีความสุขได้กับทุกๆสิ่งรอบๆตัวคุณ
ลองเปลี่ยนมุมมองดูบ้างสิค่ะ เราจะได้สร้างสังคมแห่งความสุขด้วยกัน
คบเพื่อนคิดบวกเพื่อสร้างนิสัยการคิดเชิงบวก 
"คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล" 
ก็ยังใช้ได้กับสังคมไทยในทุกยุคทุกสมัยนะครับ
เช่นเดียวกันกับการที่เราจะพัฒนาตนเองให้เป็นคนที่มีความคิดเชิงบวก
เราก็คงจะต้องถือคติ "คบคนคิดลบ คนคิดลบจะพาไปหาทุกข์ 
คบคนคิดบวก คนคิดบวกจะพาไปหาโอกาสแห่งความสุข"
ถึงแม้จะไม่เหมือนแต่ก็พอกล้อมแกล้มไปได้นะครับ
ถ้าเพื่อนๆหรือคนรอบข้างของเราเป็นคนคิดลบ 
นินทาคนอื่นทั้งวัน คิดแต่สิ่งที่ไม่ดี ชอบมองโลกในแง่ลบ 
คิดว่าคนอื่นไม่ดี(ตัวเองดีอยู่คนเดียว) มองอะไรไม่ค่อยสร้างสรรค์ 
วันๆเอาแต่ติแบบไม่ก่อ
รับรองได้ว่าวันๆชีวิตเราจะมีแต่เรื่องลบๆเข้ามาเก็บไว้ในหัวและในใจ 
คงไม่ต่างอะไรจากถังขยะที่ใส่แต่สิ่งที่ไม่มีประโยชน์
แต่ถ้าเพื่อนๆหรือคนรอบข้างของเรามีแต่คนคิดบวก
คิดสร้างสรรค์ เป็นคนที่มองทุกอย่างเป็นโอกาส เป็นคนที่สรรหาแต่สิ่งดีๆเข้าในชีวิต 
เช่น วันๆก็คุยกันเรื่องที่ดีๆ เรื่องที่สร้างกำลังใจ 
เรื่องพัฒนาคน ปรับปรุงงาน เรื่องชื่นชมความดีของคนอื่น
ชื่นชมความสำเร็จของคนอื่น เล่าสู่กันฟังเรื่องความภูมิใจในชีวิตของตัวเอง ฯลฯ 
รับรองได้ว่าเรามีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในหัวและในใจอย่างแน่นอน 
เมื่อเราอยู่ในสังคมที่เป็นบวกไปนานๆ 
เราก็จะปรับตัวและซึมซับเอาลักษณะการคิดเชิงบวกเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น ถ้าใครต้องการที่จะพัฒนาตนเองให้กลายเป็นคนคิดเชิงบวก
อย่างแรกสุดคือการเลือกคบคน เลือกอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่เป็นคนคิดเชิงบวกก่อน
เท่ากับเป็นการเลือกสภาพแวดล้อมก่อน 
ก่อนที่จะเข้ามาพัฒนาที่ตัวของเราเองในลำดับต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก http://gotoknow.org/blog/positive/120319