วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2562

กอดคนนอกใจ





#ผู้หญิงทุกคนเธอไม่ได้โง่ แต่ที่เธอยอมเพราะต้องการรักษาความรักที่เ­ธอมีต่อคนที่เธอรักเท่านั้นเอง


ต่ออายุใบขับขี่รถส่วนบุคคล 5 ปี ใช้เอกสารอะไร เสียเงินไหม

ต่ออายุใบขับขี่รถส่วนบุคคล 5 ปี ใช้เอกสารอะไร  เสียเงินไหม

     ปัจจุบันบนท้องถนนเต็มไปด้วยรถยนต์ สิ่งที่ต้องคำนึงเป็นหลักคงหนีไม่พ้นเรื่องของความปลอดภัย และกฎระเบียบในการใช้รถบนท้องถนน บุคคลที่ประสงค์ขับขี่รถต้องได้รับการรับรอง หรือ ใบอนุญาตขับขี่ เพื่อยืนยันว่าผู้ขับขี่มีความรู้ความสามารถในการใช้รถ และได้ผ่านการทดสอบจากกรมการขนส่งทางบกเรียบร้อยแล้ว หากผู้ขับขี่ไม่มีใบอนุญาต แถมยังกระทำผิดต่อกฎจราจร ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย มีโทษทางแพ่ง อีกทั้งยังไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทน หรือ ความคุ้มครองจากบริษัทประกันภัยต่างๆ

ใบขับขี่หมดอายุทำไง ต่อใบขับขี่ 5 ปี ใช้เอกสารอะไรบ้าง
     จะเห็นได้ชัดว่าใบขับขี่เป็นเอกสารหลักฐานสำคัญ มีประโยชน์ในแง่ของสิทธิ ในกรณีที่ใบอนุญาตขับขี่หมดอายุห้ามปล่อยทิ้งไว้นาน ผู้ขับขี่จะต้องต่ออายุใบขับขี่ก่อนหมดอายุล่วงหน้า 3 เดือน หรือภายใน 1 ปีหลังจากหมดอายุ เพราะไม่เช่นนั้นผู้ขับขี่จะต้องสอบข้อเขียน ปฏิบัติใหม่ทั้งหมด เรียกได้ว่าเสียเวลา และอาจใช้เวลากันทั้งวันเลยล่ะ พี่หมีมีทริคสำหรับผู้ต้องการต่อใบขับขี่กับ ต่อใบขับขี่ 5 ปีแบบง่าย ๆ ไม่ต้องไปต่อคิวทั้งวัน


ต่อใบขับขี่ 5 ปี เสร็จไว ไม่ต้องรอนาน
     การต่ออายุใบขับขี่ สามารถทำเสร็จได้ภายในวันเดียว หรือ ไม่ถึง 3 ชั่วโมง หากไม่ต้องการต่อคิวนาน เสียเวลา แนะนำให้ไปตั้งแต่ช่วงเช้าเพื่อได้บัตรคิวต้นๆ เพราะในแต่ละวันจะมีรอบการอบรม โดยแบ่งออกเป็น 5 รอบ / วัน เริ่มเวลา 9.00 น. -  14.00 น. การต่ออายุใบขับขี่สามารถทำได้ที่สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ

คุณสมบัติของผู้ขอรับใบขับขี่
1. ผู้ที่สามารถต่ออายุใบขับขี่รถส่วนบุคคล 5 ปี จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล ใบขับขี่รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล หรือใบขับขี่รถชนิดอื่นอยู่แล้ว
2. ผู้ที่สามารถต่ออายุใบขับขี่รถส่วนบุคคล 5 ปี ต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้าม
3. ในกรณีขาดต่ออายุใบขับขี่เกิน 1-3 ปี ต้องติดต่อจองคิวที่สำนักงานฯ ทั่วประเทศ


ใบขับขี่หมดอายุทำไง

เอกสารประกอบคำขอ
1. ใบขับขี่เดิม หรือใบแทน
2. บัตรประชาชนฉบับจริง
***ในกณีที่ต้องการต่อใบขับขี่ถ้าต่อ 2 ปีเป็น 5 ปี ใช้ใบรับรองแพทย์ แต่ถ้าต่อ 5 ปี เป็น 5 ปี ไม่ต้องใช้

ขั้นตอนการต่ออายุใบขับขี่รถส่วนบุคคล 5 ปี
1. ผู้ที่ต้องการต่ออายุใบขับขี่ จะต้องตรวจสอบเอกสาร และออกคำขอ
2. ผู้ขับขี่ต้องทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ดังนี้
  - ทดสอบการมองเห็นสี (สีแดง เขียว เหลือง)
  - ทดสอบสายตาทางลึก
  - ทดสอบสายตาทางกว้าง
  - ทดสอบปฏิกิริยาเท้า (ในการใช้เบรคเท้า)
 3. อบรม 1 ชั่วโมง
 4. ชำระค่าธรรมเนียม / ถ่ายรูปพิมพ์ใบขับขี่ / จ่ายใบขับขี่

สำหรับการอบรม 1 ชั่วโมง จะเป็นการอบรมเกี่ยวกับการขับขี่อย่างปลอดภัย ข้อบังคับ กฎจราจรที่ควรรู้
รวมถึงมารยาทในการขับขี่  นอกจากนี้จะต้องชำระค่าธรรมเนียมในการต่อใบขับขี่ ดังนี้
- ใบขับขี่รถยนต์ 5 ปี ชำระ 500 บาท + ค่าคำขอ 5 บาท รวม 505 บาท
- ใบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ 5 ปี ชำระ 250 บาท + ค่าคำขอ 5 บาท รวม 255 บาท

     ใบอนุญาตขับขี่ เป็นหลักฐานที่ควรพกติดตัวไว้เสมอ โดยเฉพาะผู้ที่ขับรถเป็นประจำ เพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่าคุณได้ผ่านการทดสอบจากกรมการขนส่งทางบก ในกรณีลืมใบขับขี่ หรือ ใบขับขี่สูญหาย พี่หมีแนะนำ ใบขับขี่ดิจิทัล DLT Smart Licence ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android สามารถใช้ได้เฉพาะบัตรที่มี QR Code เท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ควรพกใบจริงติดตัวไว้จะดีกว่า ต่อใบขับขี่ 5 ปี ไม่ต้องต่อคิวนาน อย่าลืมเตรียมเอกสารให้ครบ เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด และไม่ต้องเสียเวลา

ลงทะเบียนทำเวชระเบียนผู้ป่วยใหม่ออนไลน์ งานเวชระเบียนออนไลน์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

ลงทะเบียนทำเวชระเบียนผู้ป่วยใหม่ออนไลน์

งานเวชระเบียนออนไลน์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

 https://med.mahidol.ac.th/medicalrecord/th/news/announcement/RsgOnline


วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ใช่ว่า..ไม่เคย"รัก"

สุดท้ายเเล้วถึงจะผิดหวังแค่ไหน
แต่ในใจลึกๆเเล้วก็ยังเชื่อ.....ว่ารักเเท้มีอยู่จริง

ไม่ใช่ว่าเพราะเราเคยได้มันมา
แต่เพราะเราเคยให้มันกับใครคนหนึ่งไป


วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เกิดมาเพื่อให้รู้ว่าเรารักกัน





เกิดมาเพื่อให้เรารู้ว่าเรารักกัน



คนข้างใจ กับ คนข้างกาย...บางทีก็ไม่ใช่คน คนเดียวกัน




วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

10 อย่างนี้..ไม่ควรอวดต่อหน้าคนอื่น

10 อย่างนี้..ไม่ควรอวดต่อหน้าคนอื่น

อวดฉลาด อวดรู้  อวดเก่ง อวดดี อวดเด่น อวดผลงาน  อวดรวย  อวดสำเร็จ อวดความสุข อวดความลับ

ในทางพระพุทธศาสนาลดอวดด้วย มงคลสูตร “ข้อปฏิบัติ 38 ประการ” 
ข้อที่ 23 กล่าวว่า
นิวาโต แปลว่า ไม่ถือตัว มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เอาลมออก

ดังคำกล่าวของท่านหลวงวิจิตรวาทการ ที่ว่า

“อันที่จริงคนเขาอยากให้เราดี   แต่ถ้าเด่นทุกทีเขาหมั่นไส้
จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย   ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน”

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

#กลยุทธ์ในการดำเนินชีวิต by ศิวพร ไตรภพ

กลยุทธ์ในการดำเนินชีวิต by ศิวพร ไตรภพ


ชีวิตที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย...ชะตาชีวิตเราเองเป็นคนเลือก.. การที่เราวางแผนชีวิต จะช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายได้มากขึ้น

1. เลือกที่จะสำเร็จ
        วิธีที่ง่ายที่สุด คือ ศึกษาว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จเขามีเส้นทางในการดำเนินชีวิต
#อ่านหนังสือร้อยเล่มไม่เท่าครูดี 1 คน 
(เรียนวิชาหนึ่งที่ มจร. ท่านสอนความเป็นด๊อกเตอร์เกรด A ชอบม๊าก)
คนที่ล้มเหลวส่วนใหญ่คือ  มีข้อมูลน้อยเกี่ยวกับเป้าหมาย ขาดความรู้ ขาดข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย  ขาดทักษะในการเข้าใจผู้อื่น

2. สร้างประสบการณ์ให้ตัวเอง
             ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายขนาดไหน  เราก็ยังคงเลือกที่จะสุข 
ทุกหรือสุขอยู่ที่ใจเราจะเลือกเอา (เหมือนกาแฟที่คุณดื่มทุกเช้า ร้อนหรือเย็น ขึ้นอยู่กับคุณจะเลือก)

3. ยอมรับความจริง
         ทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ คือ การยอมรับ
ปัญหาของโลกนี้มี 2 แบบ ปัญหาที่แก้ได้กับปัญหาที่แก้ไม่ได้ (Cr.ชาติชาย ชุณหะวัณ)

4. ให้รางวัลกับการกระทำเสมอ
สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดีเสมอ อย่างน้อยก็เป็นประสบการณ์
         คนจำนวนมากที่รู้สึกว่าตัวเอง เป็นนักคิดที่ชาญฉลาดแต่ทำไมชีวิตยังอยู่ห่างจากเป้าหมายที่ นั่นเป็นเพราะ คุณไม่เคยลงมือทำ และเป็นความจริงที่ว่า โลกใบนี้ไม่สนใจคนที่มีความคิดดี แต่จะสนใจการกระทำที่ดีมากกว่า

5. ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา ให้รับรู้อย่างเดียว
         ถ้าเราอยากให้ชีวิตเราเต็มไปด้วยความสุข เราก็เลือกมองแต่เรื่องดี ๆ แทนการมองโลกในแง่ร้าย (โลกเป็นสีอะไรขึ้นอยู่กับคุณใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก) 

6. ชีวิตต้องการการบริหารจัดการจะปล่อยไปตามชะตากรรมไม่ได้
         คนส่วนใหญ่มักตามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน โดยมองข้ามความจริงที่ว่า
#ชีวิตต้องการการจัดการ  ควรมีการวางแผนทั้งระยะสั้นและระยะยาว  เพื่อป้องกันปัญหาไว้ล่วงหน้า  ในการวางแผนเราต้องพูดคุยกับผู้จัดการชีวิตของเรา 

#เราควรมีเวลาอยู่นิ่งๆ ซะบ้าง 
#อยู่กับตัวเองซะบ้าง 
#ฟังเสียงหัวใจตัวเอง 
#ว่าต้องการอะไรและเกิดมาทำไม

7. คติประจำใจ 
สำคัญอย่างไร ทำไมตอนเด็กๆ ต้องมี เพื่อให้เรารู้ว่าเราต้องดำเนินชีวิตอย่างไร
สำหรับผู้เขียน “โอกาสอยู่ที่การไขว่คว้า โชคชะตาอยู่ที่การต่อสู้”

8. รู้จักตัวเอง 
วิเคราะห์ SWOT ในตัวเอง เก่งอะไร ชอบอะไร
(รู้จักตัวเอง พอดี พอประมาณ สร้างความคุ้มกัน เป้าหมายชัดเจน)

9. พลังแห่งการให้อภัย 
“ไม่มีความผิดสถานใดที่ความรักให้อภัยกันไม่ได้” (จากหนังเรื่อง ชั่วฟ้าดินสลาย)
ชีพหนึ่งไม่ยืนยาว ไม่รู้จะมีสักกี่เช้าให้เราตื่น อย่าจมปักอยู่กับความโกรธเกลียดเลย

อรุณสวัสดิ์ค่ะ


กลยุทธ์ในการดำรงชีวิต

หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่ท้อแท้  คนที่ไปไม่ถึงความสำเร็จ   มันเป็นเหมือนแสงเทียนส่องทางที่จะพาเราไปสู่เส้นทางคนสำเร็จเหมือนชื่อหนังสือ 

ซึ่งถ้าใครได้อ่านแล้วจะได้แนวคิดใหม่ๆที่ช่วยจุดประกายไฟแห่งความสำเร็จให้กับผู้ที่อ่าน

ชื่อหนังสือ         :           เส้นทางคนสำเร็จ
ผู้เขียน               :           คุณน้ำฝน  กสินชัยศักดิ์    
สำนักพิมพ์         :           พิชญ
ปีที่พิมพ์            :           2552
พิมพ์ครั้งที่         :           1
จำนวนหน้า        :           136  หน้า 
ราคา                  :           130   บาท  
ISBN                :           978-974-660-457-4 
ผู้สรุปและวิเคราะห์:        นางสาวสุภาภรณ์  นาสมบูรณ์  GM491 รหัสนิสิต  49010910933


หนังสือเล่มนี้เป็นสุดยอดเทคนิคการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จด้วยหลักการของการใช้ชีวิตประจำวันที่หลายคนมองข้าม เพื่อสร้างภาพแห่งความสำเร็จ ในใจให้เป็นจริง กับ เส้นทางคนสำเร็จ  เพราะ ความสำเร็จ คือสิ่งสูงสุดในชีวิตที่ทุกคนต้องการ แต่ภาพของความสำเร็จที่เป็นความฝันนั้นจะถูกสร้างให้เป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อเรารู้วิธีการที่จะดึงออกมาใช้ จะต้องเล่นเกมรุกหรือรับเพื่อเดินไปให้ถึงความสำเร็จต้องมีจังหวะและวิธีทำ  เส้นทางคนสำเร็จ หนังสือแนว How to จะทำให้คุณมีกำลังใจ และรู้วิธีที่จะเปลี่ยนภาพความสำเร็จในใจ ให้กลายเป็นความสำเร็จในชีวิตจริงได้อย่างง่ายดาย ร่วมเป็นส่วนหนึ่งบนเส้นทางคนสำเร็จได้ด้วยตัวคุณเอง  ซึ่งเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จะแนะนำวิธีการที่จะนำเราไปสู่เส้นทางคนสำเร็จอยู่  21  หัวข้อ  ดังนี้

1.เส้นผมบังภูเขา  เพราะเราไม่รู้จักตัวเอง
รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง   ถ้าเรายังไม่รู้จักตัวเองแล้วจะชนะใครได้  ในเมื่อเรายังไม่รู้จักตัวเราเอง
คนที่ไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้คือคนที่ไม่รู้จักตัวเอง  ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร  ไม่ชอบอะไร   ต้องการอะไร   ไม่รู้ว่าอะไรคือตัวเรา  เมื่อจะลงมือทำอะไรก็ตามถ้าเราไม่รู้จักสิ่งที่เราเป็นแล้วเราก็ไม่สามารถที่จะทำงานนั้นออกมาได้สำเร็จแล้วเราก็มัวแต่โทษโชคชะตา ไม่คิดทบทวนว่าสิ่งที่ทำให้งานนั้นไม่สำเร็จอาจมาจากตัวเราเองก็ได้  และเมื่อเราไม่รู้จักตัวเองจุดอ่อนที่เรามีก็จะไม่มีวันได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น  ดังนั้นเราควรที่จะค้นหาความเป็นตัวของตัวเอง  ค้นหาตัวเองว่าสิ่งที่เราชอบมีอะไรบ้างและหามาให้ได้มากที่สุดจากนั้นเราก็ถามและตอบตัวเองหลายๆครั้งจนมั่นใจว่าสิ่งที่เราชอบมากที่สุดคืออะไร  จากนั้นเราจึงลงมือทำสิ่งนั้น ในการประกอบธุรกิจก็เช่นเดียวกันถ้าเราไม่รู้จักตัวเองเราก็อาจจะก้าวจุดที่สำคัญไปและธุรกิจที่เราทำอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราถนัดสุดท้ายก็จะล้มเหลว   แต่ถ้าเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่และสิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่เราชอบมันก็จะทำให้เราเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำและสามารถทำมันด้วยความสามารถ  ความชอบ ถ้าเป็นเช่นนี้คุณก็สามารถที่จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้

2.ตั้งเป้าหมายในชีวิตด้วยความสุข
          เลือกและควบคุมเป้าหมายชีวิตด้วยตัวของเราเองแล้วเป้าหมายนั้นจะเป็นจริง
            ในการที่จะทำอะไรก็ตามถ้าเราไม่ตั้งเป้าหมายเราก็จะไม่รู้ทิศทางที่จะก้าวต่อไปว่าควรไปทางไหนดีแต่การตั้งเป้าหมายที่ดีควรนำสิ่งที่เราชอบมาตั้งเป็นเป้าหมาย เพราะจะทำให้เรามีความสุขในการทำงานซึ่งเป็นการต่อยอดความสุข   แต่ถ้าอยากรู้ว่าเป้าหมายที่เราทำด้วยความสุข และเป้าหมายที่เราทำด้วยความจำใจนั้นเป็นอย่างไร  ลองเลือกหนังสือที่เราชอบอ่านและหนังสือที่เราไม่ชอบอ่านมาอย่างละ  5  เล่ม  และอ่าน ให้หมดทุกเล่นและทำการจับเวลาที่อ่านด้วย  พร้อมบอกสาระที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนั้นด้วย   จะเห็นได้ว่าหนังสือที่เราชอบเราจะใช้เวลาในการอ่านน้อยกว่าหนังสือที่เราไม่ชอบ  และเราเข้าใจประเด็นสำคัญ สาระสำคัญของหนังสือดีกว่าหนังสือที่เราไม่ชอบ
            การตั้งเป้าหมายอย่างจริงจังเราควรที่จะหาจุดโฟกัสโดยการจำกัดเป้าหมายในชีวิตให้แคบลงเพราะจะเป็นการชี้ให้ชัดว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการ  ยิ่งเป้าหมายชัดเจนเรายิ่งสามารถสร้างภาพในความคิดได้ใกล้เคียงมากเท่านั้นและจะช่วยกระตุ้นความอยากของจิตใจให้อยากลงมือทำและมองเห็นความสุขความสำเร็จอยู่เบื้องหน้า  ในองค์กรต่างๆก็มีเป้าหมายในการทำงาน  เป็นเป้าหมายที่สามรถเป็นไปได้ไม่ใช่การตั้งเป้าหมายขึ้นมาลอยๆ  องค์กรตั้งเป้าหมายเพื่อที่จะทำให้ทุกคนในองค์กรมีความเข้าใจที่ตรงกันและสามารถนำพาองค์การไปสู่ความสำเร็จได้

3.มุมมองที่ถูกต้องของความล้มเหลว
          คำว่าสำเร็จกับคำว่าล้มเหลวเป็นคำที่ควบคู่กันเสมอ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามผลที่ได้ก็คือ  สำเร็จกับล้มเหลว และไม่มีใครที่จะไม่พบกับความล้มเหลวเลยทุกคนเคยล้มเหลวกันทั้งนั้น   ขึ้นอยู่กับว่าใครจะพลิกความล้มเหลวในรั้งก่อนให้กลายเป็นความสำเร็จในครั้งต่อไป  คือการนำเอาความล้มเหลวมาเป็นบทเตือนใจ  และหยิบความล้มเหลวมาเป็นจุดเริ่มต้นได้ซึ่งการทำแบบนี้จะเป็นกาฝึกให้เราเป็นคนล้มเหลวแบบผู้ชนะ ปัจจัยที่นำไปสู่ความล้มเหลวคือ
                        1.ไม่มีความคิดที่ชัดเจน  ไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
                        2.ทำแบบไม่มีระบบ  ไม่มีขั้นตอนในการทำ  คิดอยากทำอะไรก็ทำ
                        3.ไม่มองตามความเป็นจริง  มองแต่อุดมคติของตน
                        4.หลงตัวเอง   หยิ่ง  คิดว่าตัวเองเก่งที่สุด
                        5.รู้ไม่จริง  ไม่มีการหาความรู้เพิ่มเติมในสิ่งที่ทำ

4.สร้างวิถีของตนเอง
            การมีต้นแบบ คือการที่เราชื่นชมบุคคลที่เขาประสบความสำเร็จแล้วก็นำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อที่จะได้ประสบความสำเร็จตาม            และบุคคลที่เคยประสบความสำเร็จมีไว้เป็นแบบไม่ได้มีไว้  copy เพราะถึงเราจะทำตามแบบเขาทุกอย่างแต่ผลที่ได้ก็ไม่เท่ากัน   ถึงแม้จะเป็นปัญหาเดียวกันแต่อาจมีปัจจัยอื่นๆที่ต่างกัน เช่น  ประสบการณ์  ความกดดัน  ความรู้  ความชำนาญ
คนที่เลียนแบบแล้วประสบความสำเร็จมีจำนวนเท่าๆกับคนที่เลียนแบบแต่ล้มเหลว  การเลียนแบบอย่างฉลาดคือการที่เรานำแบบอย่างมาผสมเข้ากับความสามารถ  จุดแข็ง   ใส่ความเป็นเอกลักษณ์ ของตนเองเข้าไปด้วย  เพราะมันจะทำให้เราประสบความสำเร็จโดยที่ไม่มีเงาของตัวแบบติดมาด้วย

5.เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
          เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง  ไม่หยุดที่จะเรียนรู้แม้ว่าจะประสบความสำเร็จแล้ว  เพราะการหยุดที่จะเรียนรู้เพียงแค่เลาไม่นานจะทำให้เรากลายเป็นคนโง่บนทางเดินของตัวเอง และอาจพลัดตกจากคำว่า ความสำเร็จ ได้อย่างง่ายดาย
            ความรู้เป็นสิ่งที่มีค่าและไม่มีวันที่จะใช้หมด แต่สิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเราจึงควรที่จะหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะให้เราตามติดกับสถานการณ์ในปัจจุบันได้เป็นการต่อยอดความคิดฝึกสมองให้ฉลาดอยู่เสมอ   ความรู้ไม่ได้มีอยู่เฉพาะในห้องเรียนความรู้มีให้เราศึกษาอยู่ทุกที่และไม่มีใครรู้ว่าจะต้องนำความรู้ไปแก้ปัญหาตอนไหน   ต้องนำความรู้ไปใช้ตอนไหน แต่ที่แน่ๆเราต้องใช้มันแน่นอน  คนที่ประสบความสำเร็จจะทำการเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเองและของคนอื่น  เรียนรู้จากความผิดพลาดความล้มเหลวเขาจึงประสบความสำเร็จได้  คนที่เก็บเกี่ยวความรู้ได้มากที่สุดคนนั้นคือคนที่ประสบความสำเร็จ

6.คิดบวกยังไงก็ต้องบวก
            การมองโลกในด้านบวก เป็นการคิดแต่ด้านดีๆเพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นในสิ่งที่เรากำลังทำและเปรียบเหมือนกับสิ่งดีๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้เรามีเรี่ยวแรงทำในสิ่งต่างๆ  แต่ถ้าเรามองโลกในด้านลบ  ซึ่งคือการไม่กล้า  ความกลัว  ไม่กล้าทำเพราะกลัวล้มเหลว
            จริงอยู่ทีว่าอนาคตไม่มีใครบอกได้อย่างแม่นยำว่าจะเกิดอะไรขึ้น  แต่การมองโลกในแง่บวก  จะทำให้เรามองเห็นภาพความสำเร็จที่ต้องการได้เป็นการสร้างกำลังใจ  ความเชื่อมั่นในตัวเอง  และไม่ว่าเรากำลังเผชิญกับอุปสรรคอะไรอยู่ก็ตาม  จงมองหาแง่บวกให้เจอ มองให้รอบทิศของอุปสรรคนั้น  เชื่อเถอะว่าจะได้เจอกับความคิดด้านบกอย่างแน่นอน
                ดังนั้นการคิดบวกจะช่วยสร้างกำลังใจให้เราสามารถก้าวเดินไปข้างหน้า  ก้าวไปเพื่อเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ  ถึงแม้ว่าบางครั้งเราอาจพบกับอุปสรรคที่มากมายแต่ความสำเร็จก็จะไม่กลายเป็นความล้มเหลวเพราะความรู้สึกบวกจะช่วยเป็นแรงขับให้เรากล้าที่จะเดินต่อไป  ส่วนความคิดลบมีประโยชน์เพียงข้อเดียว คือการที่จะทำให้เราเตือนตัวเองว่าให้ทำมันอย่างรอบคอบแค่นั้นเอง  อย่าปล่อยให้ความกลัวนำไปสู่ความล้มเหลว  การสร้างนิสัยคิดบวกให้กับตัวของเรา  เราต้องไปอยู่ใกล้คนที่เขาคิดบวกเพราะจะสามารถซึมซับนิสัยคิดบวกของเขาได้  พยายามคิด บวกให้มากกว่าคิดลบ ทำการฝึกให้ชิน


7.โฟกัสความสำเร็จให้เป็นหนึ่ง
            การโฟกัสไปยังจุดที่สำคัญที่สุดจะช่วยให้เรารู้ว่าสิ่งให้สิ่งไหนที่เราต้องทำก่อนหลังและต้องทำมันให้สำเร็จ  รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับตัวเรา  วิธีการคือ  เขียนสิ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จมาให้ได้มากที่สุด  จากนั้นลำดับความสำคัญว่าข้อไหนสำคัญที่สุด เมื่อเลือกได้ให้ทำสัญลักษณ์ไว้ที่ อันดับ  1  ไว้และท่องให้ขึ้นใจมีความเชื่อมั่นว่าเราจะทำได้  ไม่กลัวที่จะล้มเหลว
          โฟกัสเป้าหมายให้ตรงจุด  ลงมือทำอย่างไม่หลงทิศ เพียงเท่านี้จะกี่ความสำเร็จเราก็สามารถทำได้
การสร้างความสำเร็จเราไม่จำเป็นที่จะต้องทำ 1 เรื่องภายใน  1  วัน แต่เราสามารถที่จะทำหลายๆเรื่องภายในวันเดียวได้  การสร้างความสำเร็จต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นหนึ่ง   ต้องรอบคอบ  ละเอียดอ่อนและต้องไม่ท้อต่ออุปสรรคที่ผ่านเข้ามา

8.กำหนดเส้นตายความสำเร็จ
            ระบุลงไปเลยว่าเป้าหมายของชีวิตต้องสำเร็จเมื่อไหร่  ปีไหน  เมื่ออายุเท่าไหร่  เขียนตัวโตๆ ติดไว้ให้มองเห็นง่ายๆ  เพื่อตองย้ำความจำไม่ให้เราลืมความตั้งใจของตัวเอง
            การทำอะไรก็ตามถ้าเราทำไปเรื่อยเปื่อยไม่มีการกำหนดระยะเวลาการทำว่าจะทำกี่วัน  ก็จะทำให้เราไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จได้ คนที่เขาประสบความสำเร็จเขาจะกำหนดระยะเวลาในสิ่งที่เขาทำเสมอ  ยิ่งเป้าหมายที่ยาก  ยิ่งต้องกำหนดเวลาให้ชัดเจนและจะช่วยทำให้เราเป็นคนที่มีระบบ ระเบียบ ในการทำงาน  ซึ่งในเป้าหมายหนึ่งเราอาจจะแบ่งเป้าหมายลงเป็นข้อย่อยหลายข้อได้  และทำการกำหนดระยะเวลาซึ่งให้ความสำคัญกับประเด็นหลักให้มาก   แต่ถ้าเราไม่สามารถทำเป้าหมายนั้นให้สำเร็จได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดเราต้องดูว่าถ้าเราจะเลื่อนเวลาออกไปอีกจะมีผลกระทบในทางลบหรือไม่และเราต้องมั่นใจว่าต้องทำให้ได้ไม่เลื่อนไปอีก เพราะถ้าเลือนออกไปอีกจะทำให้เราขาดแรงกระตุ้นกลับมาทำงนเรื่อยเปื่อย  และที่สำคัญเราควรที่จะมุ่งมั่น  ตั้งใจทำเป้าหมายนั้นอย่างเต็มที่เราก็จะพบกับคำว่า สำเร็จ

9.ความไม่กลัวคือความสำเร็จ
            คนประสบความสำเร็จคิดว่าความกลัวคือสิ่งท้าทายให้ยิ่งต้องทำให้สำเร็จ     คนพ่ายแพ้จะคิดว่าความกลัวคือสิ่งบอกว่า  ห้ามทำ  และจะเลิกทำคามฝันให้เป็นจริง
            การที่เรารู้ว่าตัวเรากำลังกลัวอะไร แล้วเราหยิบความกลัวนั้นมาหาสาเหตุที่ทำให้ความกลัวนั้นเกิดขึ้นและคิดหาวิธีแก้ไข เพราะถ้าเราไม่รีบแก้ไขความกลัวนั้นจะทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จ และอาจทำให้เราไม่อาจเริ่มต้นทำอะไรได้เลยแค่คิดก็กลัวแล้วการลงมือทำจึงไม่มีวันที่จะเกิดขึ้น  การเอาชนะความกลัวเราไม่จำเป็นต้องบอกตัวเองว่าไม่กลัวเพราะมันจะตอกย้ำว่านี้คือความกลัว  เหมือนเรากำลังวิ่งหนีเงา
            การประกอบธุรกิจก็เช่นกัน ถ้าเรามีแต่กลัว  กลัวที่จะขาดทุน  ถ้าขาดทุนต้องแย่ ต้องแพ้   ถ้าเรามัวแต่คิดอยู่แบบนั้นเราก็จะไม่กล้าที่จะทำอะไรเลยดังนั้นเราควรที่จะหาสาเหตุที่ทำให้เรากลัวว่าถ้าทำไปจะขาดทุนและสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดพลาดนั้น เราต้องคิดหาวิธีที่จะลุกขึ้นใหม่อย่างไรไม่ให้ขาดทุนหรือผิดพลาดซ้ำสอง  มีเพียงคนส่วนน้อยที่คิดว่าการทำธุรกิจครั้งนี้ฉันจะได้กำไร  ทั้งๆที่การคิดเชื่อมั่นว่าฉันทำได้เป็นความคิดของคนที่สำเร็จ  ความกลัวเกิดขึ้นที่ใด  ความล้มเหลวก็จะตามมา  เราจะกลัวทำไมในเมื่อสิ่งนั้นเรายังไม่ได้ทำ  และมันยังไม่ได้เกิดขึ้น  จงเตือนตัวเองเสมอว่าเราทำได้  ขอแค่มีวามเชื่อมั่นในตัวเองก็พอ

10.พักสมองเพื่อความสำเร็จอันสวยงาม
            ความมุ่งมั่น  ความพยายามอย่างต่อเนื่อง  เมื่อรวมกับการพักผ่อนอย่างพอดีของร่างกาย  จิตใจ  และสมอง จะได้ผลลัพธ์คือ  ความสำเร็จอันสวยงาม
            ถ้าเหนื่อยเราก็ควรจะพักบ้าง  เพื่อให้สอง  ร่างกาย และจิตใจพร้อมที่จะก้าวต่อไป อย่าปล่อยให้ตัวเองโหมงานใช้ร่างกาย  สมอง  เกินความพอดีเพราะแทนที่เราจะทำงานได้สำเร็จกลับบทำให้ตัวเราทรุด อย่าผืนทำอะไรเกินกำลังเพราะไม่มีวันที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าพอใจ  แต่การที่เราหยุดพักไม่ใช้การที่เราต้องยอมแพ้มัน  แต่เป็นการพักเพื่อกลับมาลุยต่อ    เมื่อร่างกาย  สมอง  จิตใจได้พักมันก็จะทำให้เราคิดเรื่องใหม่ๆได้และอาจจะหาแนวทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้อย่าได้คิดว่าตัวเองคือเครื่องจักรเพราะเครื่องจักรยังต้องหยุดพัก  จงพักสมอง เพื่อเติมความสดใหม่ให้ความคิด  ร่างกายเพื่อให้มีแรงพอที่จะต่อสู้  และจิตใจเพื่อให้จิตใจได้ผ่อนคลาย

11.พึ่งตัว  ช่วยตน
            จงฝึกพึ่งตัวเองก่อนที่จะไปพึ่งคนอื่น  ทำตัวเองให้แข็งแกรงทำให้ตัวเองเติบโตขึ้นด้วยศักยภาพของตัวเอง   เมื่อเราคิดอย่างนี้เป็นประจำก็จะเป็นการปลูกฝังตัวเองให้พึ่งพาตัวเองก่อน         แต่ถ้าเราทำไม่ได้จริงๆจึงไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
            คนที่ชอบพึ่งพาคนเปรียบเหมือนกาฝากที่เอาชีวิตของตัวเองไปผูกติดไว้กับต้นไม่ใหญ่หากต้นไม้ใหญ่ตายไป กาฝากก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้        คนที่ชอบพึ่งพาตนเอง   เปรียบเหมือนต้นกล้าที่ค่อยๆเติบโต  โดยมีต้นไม้ใหญ่เป็นร่มเงาคอยชี้แนะแนวทางให้  และแม้ว่าต้นไม่ใหญ่จะตายไปต้นกล้าก็สามารถที่จะเติบโตได้ด้วยตัวเองอย่างมั่นคง
            การพึ่งตัวเองก่อนร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นจะช่วยฝึกความแข็งแกร่ง  เพิ่มพูนความรู้  ความสามรถและศักยภาพของตัวเอง  เราได้เรียนรู้วิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และถ้าปัญหานี้เกิดขึ้นใหม่อีกครั้งเราก็จะสามารถนำความรู้เดิมมาปรับปรุงและแก้ปัญหาได้อีก
12.การสร้างนิสัยคนสำเร็จ
          วิเคราะห์  ยอมรับ  รักษา  ลบล้าง  สร้างใหม่  5 คำ สำหรับสร้างนิสัยคนสำเร็จที่แท้จริง
                        1.วิเคราะห์ : มองอย่างเป็นกลางว่าอะไรดี  อะไรแย่  อะไรควรทำ  อะไรไม่ควรทำ   และเลือกทำในสิ่งที่ดี จงมั่นใจในการตัดสินใจของตนเอง
2.ยอมรับ : ยอมรับนิสัย  ความรู้สึกของตัวเองทั้งด้านดี  และไม่ดีจากนั้นค่อยทำการแก้ไข  ปรับเปลี่ยนให้เป็นในทางที่ดี
3.รักษา : ทำการแก้ไขปรับปรุง เปลี่ยนแปลงนิสัยที่ไม่ดีให้ค่อยๆหายๆป  และรักษานิสัยที่ดีให้คงอยู่อย่าให้ได้หายไป
4.ลบล้าง : เตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเราเลิกนิสัยที่ไม่ดีแล้วและทำแต่สิ่งที่ดีจะทำให้ดียิ่งขึ้น
5.สร้างใหม่ : ฝึกสมองให้คิดและทำนิสัยใหม่ๆ  ทำอย่างต่อเนื่อง

13.อย่าจมอยู่กับความทุกข์ในอดีต
            ความทุกข์ที่เกิดขึ้น  ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว    เราควรปล่อยวาง อย่ามัวไปนั่งเศร้าอยู่กับมัน  เราควรถามตัวเองว่ามันเกิดจากอะไรแล้วทำการแก้ไขที่ต้นเหตุ  เราปล่อยวางแต่อย่าละเลยเพราะจะทำให้ความผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นซ้ำอีก   เราต้องยอมรับในความทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  ถ้าเราจมอยู่กับความทุกข์นั้นแล้วเราได้อะไร  ถ้าเราไม่ก้าวออกจากความทุกข์จะส่งผลอะไรกับตัวเราบ้างลองคิดและคงตัดสินใจก้าวออกจากความทุกข์   มองว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นจะช่วยทำให้เราแข็งแกร่ง  เป็นจุดเริ่มต้นของเราและการตอกย้ำความเชื่อมั่นว่าเราต้องทำได้ และก็เริ่มต้นใหม่ กับสิ่งใหม่ๆ อนาคตที่สดใสรอเราอยู่
            อดีตเป็นเพียงเรื่องที่ผ่านไปแล้วต่อให้เรื่องนั้นจะทุกข์ขนาดไหนจงอย่าให้มันส่งผลร้ายถึงปัจจุบันและอนาคตแต่จงเปลี่ยนความทุกข์นั้นให้เป็นบทเรียนและเครื่องเตือนใจเท่านั้นพอ



14.ทำแบบฝึกหัดตัวเองทุกคืน
            ก่อนนอนเราควรตั้งคำถามว่าเราทำอะไรบ้างวันนี้ เราทำสำเร็จหรือไม่ ถ้าคำตอบออกมาวา  ฉันทำสำเร็จทุกอย่างที่จะเป็นการสร้างทางไปสู่ความสำเร็จที่ใหญ่กว่า      แต่ถ้าคำตอบที่ได้คือ ยัง และเลิกล้มไม่ทำมันในวันถัดไป  นี้คือคำตอบของคนที่จะล้มเหลว   เมื่อเราตอบคำถามของตัวเองเรียบร้อยแล้วก็ให้จดโน๊ตว่าพรุ่งนี้เราจะทำอะไรบ้างและก็ลงมือทำในวันถัดไปอันไหนทำแล้วก็ขีดฆ่าออก   พอกลับบ้านก่อนนอนเราก็มาตอบคำถามตัวเองอีกว่าวันนี้เราทำอะไร  ทำแบบนี้ทุกวัน  ซึ่งเป็นการตรวจสอบว่าตนเองลงมือทำสิ่งที่ควรทำและหรือยังและจะช่วยกระตุ้นความมุ่งมั่นที่เรามีต่อความสำเร็จไม่ให้เพิกเฉยต่อความฝันของตัวเอง
            ไม่ว่าจะทำอะไรการตรวจสอบตัวเองว่าได้ทำอะไรบ้างแล้วทำเสร็จหรือไม่ถ้าทำไม่เสร็จมีสาเหตุมาจากอะไรมีอะไรที่ต้องทำต่อไปและจะทำเสร็จเมื่อไหร่เป็นการถาม - ตอบตัวเองเพื่อให้รู้เราไม่ได้เพิกเฉยต่อความสำเร็จที่ตั้งเป้าหมายไว้

15.เสริมกำลังพลส่วนที่ไม่แข็งแรง
          ถ้าอยากประสบความสำเร็จเราก็ต้องรู้ว่าส่วนไหนคือความถนัดที่เป็นจุดแข็งของเราเอง  ส่วนไหนที่เราไม่ถนัดเป็นจุดด้อยของเรา  เพื่อที่จะได้ส่งเสริมส่วนที่เราถนัด  ชำนาญ  แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น  และอุดจุดด้อยของตัวเองไปพร้อมๆกัน
            คนทุกคนล้วนมีจุดอ่อน  จุดที่เด่นด้วยกันทั้งนั้น  เราต้องค้นหาให้เจอว่าเรามีจุดเด่นอะไรบ้างและมีอะไรที่เป็นจุดด้อยในตัวเรา  จงเขียนสิ่งที่เราเป็นและสิ่งที่เราขาดไว้ในกระดาษเพื่อสะท้อนความเป็นตัวเรา  จะทำให้เรารู้ว่าจะรักษาอะไรไว้และทำการพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง  อะไรคือสิ่งที่เราขาดที่ต้องทำการเพิ่มเติมพัฒนาหรือหาคนมาเสริมทัพจากนั้นหาเหตุผลที่เป็นสาเหตุที่ทำให้จุดด้อยนั้นเกิดขึ้น  เราอาจจะหาพันธมิตรหรือกำลังเสริมซึ้งเราต้องเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับไม่ใช่จะรับเพียงฝ่ายเดียว  และทำการช่วยเหลือเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปของกันและกัน แล้วก็มุ่งไปสู่เส้นทางคนสำเร็จด้วยกัน

16.เข้าในธรรมชาติของสิ่งที่ทำ
            คนที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องมีความรู้ในเรื่องที่ทำจริงๆและต้องรู้จักธรรมชาติของสิ่งนั้นด้วย  โดยเฉพาะการทำธุรกิจที่ต้องเข้าใจธรรมชาติของธุรกิจแล้ว ยังต้องเข้าใจธรรมชาติขอลูกค้าในธุรกิจของตัวเองด้วย (กระแสความนิยม) ในการประกอบธุรกิจเราปฏิเสธไม่ได้ว่าลูกค้ามีความสำคัญกับเรามาก  การทำความรู้จักกับธรรมชาติของลูกค้า  เราต้องทำตัวให้เป็นลูกค้าเอง   เราถึงจะรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร  ชอบอะไร   ที่สำคัญเราต้องมีความจริงใจให้กับลูกค้ามีการบริการที่เท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นลูกค้ารายเก่า   ลูกค้ารายใหม่   นี้คือการเข้าใจธรรมชาติของลูกค้า
            การที่เราเป็นหัวหน้าคนเราก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของลูกน้องว่าพวกเขามีธรรมชาติเป็นอย่างไรซึ่งจะส่งผลต่อการบริหาร  ควบคุม  สั่งการให้ลูกน้องทำงานได้ตรงตามความสามารถ   ความถนัด  ความชอบของพวกเขา  และจะทำให้การทำงานเป็นไปอย่างมีความสุข
          ความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมถ้าเรารู้จัก เข้าใจในธรรมชาติของสิ่งที่ทำ  รู้จัก เข้าใจบุคคลที่เกี่ยวข้องและเข้าใจธรรมชาติของตัวเอง

17.ศักยภาพที่แท้   มีมากกว่าที่คิด
            จงมองเห็นจุดที่ต้องพัฒนาศักยภาพของตนเองและจงอย่าตำหนิตนเอง    เพราะไม่มีใครสมบูรณ์แบบ      แต่ให้ปรับปรุงตนเองและปรับปรุงสิ่งที่เรากำลังลงมือทำ
คนทุกนมักจะวิจารณ์คนอื่นอยู่ตลอด  แต่ไม่ชอบที่จะให้ใครมาวิจารณ์ตัวเองและตัวเราก็จะมักแก้ตัวเสมอในสิ่งที่ถูกคนอื่นวิจารณ์   ตัวเราเองไม่ควรวิจารณ์ตัวเอง  เราควรที่จะวิจารณ์ตัวเองด้วยความเป็นกลางเลิกนิสัยชอบแก้ตัวเพื่อทำให้ตัวเองดูดีเพราะเราจะไม่ทราบถึงสิ่งที่เราควรที่จะพัฒนา  ถ้าเราไม่พัฒนาเราก็ไม่สามารถเพิ่มศักยภาพให้กับตัวเอง

18.มาตรการวัดความสำเร็จ
            การวัดความสำเร็จจะช่วยให้เรารู้ว่าเราเดินมาไกลแค่ไหนและช่วยบอกทิศทางการก้าวสู่จุดหมาย  ช่วยบอกสิ่งที่เราทำว่ามีคุณภาพแค่ไหน  มีอะไรผิดพลาดในการกระทำครั้งนี้   แต่ถ้าเราทำแล้วไม่มีการวัดเราก็จะไม่สามารถรู้ว่าสิ่งที่เราทำไกลจะถึงทางสู้ความสำเร็จหรือไม่  สิ่งที่เราทำถูกต้องหรือมีคุณภาพหรือไม่  การก้าวไปสู่เป้าหมายของเราช้าหรือเร็วเกินไปหรือเปล่า  ถ้าช้าไปเราก็ต้องให้ความพยายามเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าแต่ถ้าเร็วไปเราต้องคอยตรวจสอบว่ามีอะไรที่เราทำแล้วเกิดข้อผิดพลาดระหว่างทางเราจะได้แก้ไขได้ทัน
          มาตรวัดความสำเร็จไม่ได้มีไว้เพื่อตรวจสอบยืนยันว่าเราก้าวมาไกลแค่ไหนแล้วเท่านั้นแต่ยังเป็นการบอกให้เรารู้ว่าเราเดินมาถูกและตรงทางหรือไม่ที่สำคัญการวัดความสำเร็จเป็นระยะอยู่ตลอดเวลาทำให้เราได้เห็นความก้าวหน้าของตัวเองและมีกำลังที่จะทำต่อไป

19.สะสมความสำเร็จ
          ความสำเร็จสูงสุดของเราจึงจำเป็นต้องผ่านการสะสมความสำเร็จย่อยๆ มาก่อนทั้งนั้น  เพื่อความมั่นคงและแข็งแกร่งในชัยชนะอันสวยงาม
            การกว้าไปสู่ความสำเร็จ เราจะผ่านความสำเร็จไปทีละขั้น  ความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆคือชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนให้ถึงปลายทางของความสำเร็จไม่มีใครที่จะประสบความสำเร็จได้โดยการก้าวทีเดียวเหมือนการทำงานของนาฬิกา  สิ่งที่ทำให้นาฬิกาบอกเวลาตรงหรือไม่ตรงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเข็มสั้นหรือเข็มยาวเท่านั้นแต่ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบอื่นด้วยไม่ว่าจะเป็นถ่าน  เฟือง กลไกลต่างๆและน็อตทุกชิ้นที่ประกอบกันเป็นนาฬิกาถ้าขาดชิ้นส่วนใดไป  จะส่งผลต่อการบอกเวลาของนาฬิกาทันที่
            การก้าวไปสู่ความสำเร็จ  ถ้าขาดการสะสมจุดเล็กๆ น้อยๆ ไปก็อาจทำให้เราไปไม่ถึงจุดหมายแห่งความสำเร็จ

20.Just  Do  It  Now.  จงลงมือทำ
            เป้าหมายอะไรก็ตามที่วางไว้จะไม่สำเร็จถ้าเราไม่ลงมือทำอย่ามัวแต่บอกว่าจะทำ  แล้วก็มีแต่รอ  จงลงมือทำทันที่และทำด้วยความมั่นใจ  ความสำเร็จจะเป็นของคนที่ลงมือทำอย่างจริงจังและไม่ละทิ้งเป้าหมายก่อนเวลาอันควรจงคิดให้รอบคอบเพื่อความมั่นใจก่อนลงมือทำอย่าบอกว่าตัวเองไม่พร้อม  ถ้าเราไม่พร้อมเราก็ต้องหาสิ่งอื่นๆมาเสริมให้เกิดความพร้อมจงอย่ารอ  อย่าได้แต่ฝันโดยไม่ลงมือทำไม่มีอะไรได้มาโดยไม่ลงมือทำ
          คำว่า  รอ  และ  จะ  เป็นคำแก้ตัวของคนที่ไม่มีวันประสบความสำเร็จได้  ไม่ว่าจะเป็นฝันเล็กหรือฝันใหญ่ก็ไม่มีวันทำได้เพราะมัวแต่  รอ  และ  จะ  เท่านั้น

21.ต่อยอดความสำเร็จ
            การต่อยอดความสำเร็จจะเป็นการขยายฐานความสำเร็จออกไป  ต่อให้สูงไปจากฐานเดิม  การทำธุรกิจต่อยอดจากของเดิมที่มีอยู่เป็นการเสริม  จุดที่แข็งให้กับสินค้า  เป็นการเดินไปก่อนคู่แข็งขันเพิ่มความก้าวหน้าและสามารถขยายธุรกิจไปในแนวทางใหม่ได้เหมือนกันแต่ต้องใช้ความรู้  ความสามารถ  ความถนัดที่มาก
            การต่อยอดทางธุรกิจ  เช่นร้านขายขนมไทยเปิดกิจการขายขนมไทยได้รับความเชื่อถือ  การยอมรับ  จากลูกค้าเป็นอย่างมาก  ต่อมาเจ้าของธุรกิจได้ต่อยอดธุรกิจโดยการขายแฟร์นไชและเปิดโรงเรียนสอนทำขนมไทย  โดยเจ้าของร้านได้ประชาสัมพันธ์ว่าใช้สูตรดั่งเดิมที่หาได้ยาก  จึงได้รับความนิยมทั้งเรื่องแฟร์นไชส์และโรงเรียนสอนทำขนมไทย 
            การต่อยอดความสำเร็จเป็นเรื่องการใช้พื้นฐานความสำเร็จเดิมในการพัฒนาต่อเติมให้เราประสบความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้น  เป็นการเพิ่มมูลค่าความสำเร็จ








แนวคิด  ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
ทฤษฎีการเรียนรู้ (learning theory) การเรียนรู้คือกระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรียนได้จากการได้ยินการสัมผัส การอ่าน การใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ของเด็กและผู้ใหญ่จะต่างกัน เด็กจะเรียนรู้ด้วยการเรียนในห้อง การซักถาม ผู้ใหญ่มักเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีอยู่ แต่การเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากประสบการณ์และการเรียนรู้ก็ควรเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราเปลี่ยนไปตลอดเวลา
การประยุกต์ใช้กับเนื้อหาในหนังสือ  การเรียนรู้ต้องเป็นการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องถ้าเราหยุดการเรียนรู้เราก็จะเป็นคนโง่  และทุกสิ่งในโลกนี้ก็สามารถที่จะให้เราเรียนรู้ได้ถ้าเราเก็บมันมาคิดและมาปรับใช้เป็น อาจจะเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เราเคยพบเจอก็ได้

การเรียนรู้ตามทฤษฎีของไทเลอร์ (Tylor)
ความต่อเนื่อง (continuity) หมายถึง ในวิชาทักษะ ต้องเปิดโอกาสให้มีการฝึกทักษะในกิจกรรมและประสบการณ์บ่อยๆ และต่อเนื่องกัน
การจัดช่วงลำดับ (sequence) หมายถึง หรือการจัดสิ่งที่มีความง่าย ไปสู่สิ่งที่มีความยาก ดังนั้นการจัดกิจกรรมและประสบการณ์ ให้มีการเรียงลำดับก่อนหลัง เพื่อให้ได้เรียนเนื้อหาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
(integration) หมายถึง การจัดประสบการณ์จึงควรเป็นในลักษณะที่ช่วยให้ผู้เรียน ได้เพิ่มพูนความคิดเห็นและได้แสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกัน เนื้อหาที่เรียนเป็นการเพิ่มความสามารถทั้งหมด ของผู้เรียนที่จะได้ใช้ประสบการณ์ได้ในสถานการณ์ต่างๆ กัน ประสบการณ์การเรียนรู้ จึงเป็นแบบแผน
 ปฏิสัมพันธ์ (interaction) ระหว่างผู้เรียนกับสถานการณ์ที่แวดล้อม
            การประยุกต์ใช้กับเนื้อหาในหนังสือนอกจากเราจะต้องเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเราต้องจัดลำดับขั้นความสำคัญของเป้าหมายและทำเป้าหมายที่สำคัญที่สุดก่อน และเราสามารถที่จะนำประสบการณ์ทั้งของตัวเราและของคนอื่นมาปรับใช้เพื่อให้เราบรรลุเบ้าหมายนั้น

การเรียนรู้ตามทฤษฎีของเมเยอร์ ( Mayor)
- ในการออกแบบสื่อการเรียนการสอน การวิเคราะห์ความจำเป็นเป็นสิ่งสำคัญ และตามด้วยจุดประสงค์ของการเรียน โดยแบ่งออกเป็นย่อยๆ 3 ส่วนด้วยกัน
- พฤติกรรม ควรชี้ชัดและสังเกตได้  
- เงื่อนไข พฤติกรรมสำเร็จได้ควรมีเงื่อนไขในการช่วยเหลือ
- มาตรฐาน พฤติกรรมที่ได้นั้นสามารถอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด
ในการออกแบบสื่อการเรียนการสอน การวิเคราะห์ความจำเป็นเป็นสิ่งสำคัญ และตามด้วยจุดประสงค์ของการเรียน เงื่อนไข พฤติกรรม ควรชี้ชัดและสังเกตได้ โดยแบ่งออกเป็นย่อยๆ 3 ส่วนด้วยกัน   มาตรฐานพฤติกรรมสำเร็จได้ควรมีเงื่อนไขในการช่วยเหลือ  พฤติกรรมที่ได้นั้นสามารถอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด การเรียนรู้ตามทฤษฎีของบรูเนอร์  ความรู้ถูกสร้างหรือหล่อหลอมโดยประสบการณ์ (Bruner)  ผู้เรียนมีบทบาทรับผิดชอบในการเรียน ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความหมายขึ้นมาจากแง่มุมต่างๆ  ผู้เรียนเลือกเนื้อหาและกิจกรรมเอง  ผู้เรียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง  เนื้อหาควรถูกสร้างในภาพรวมความต่อเนื่อง (continuity)
            การประยุกต์ใช้กับเนื้อหาในหนังสือความรู้ถูกสร้างขึ้นจากประสบการณ์และตัวเราเองก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ตนได้ตั้งไว้ให้กับตัวเองด้วยมันจึงจะทำให้เราเกิดการเรียนรู้ที่แท้จริง

การเรียนรู้ตามทฤษฎีของบรูเนอร์ (Bruner)
- ความรู้ถูกสร้างหรือหล่อหลอมโดยประสบการณ์
- ผู้เรียนมีบทบาทรับผิดชอบในการเรียน
- ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความหมายขึ้นมาจากแง่มุมต่างๆ
- ผู้เรียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง
- ผู้เรียนเลือกเนื้อหาและกิจกรรมเอง
- เนื้อหาควรถูกสร้างในภาพรวม
            การประยุกต์ใช้กับเนื้อหาในหนังสือสิ่งที่จะทำให้เราเรียนรู้ได้ดีคือสิ่งนั้นเราต้องชอบมัน แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เราไม่สนใจเราก็ต้องทำให้สนใจและทำตัวเองให้เป็นคนรับผิดชอบต่อสิ่งที่กำลังทำอยู่  และทำแบบนี้อย่างต่อเนื่อง

ทฤษฎีการเรียนรู้แบบนีโอฮิวแมนนิส  (Neo-Humanist)
แนวคิดนี้มาจากโยคีชาวอินเดียผู้ยิ่งใหญ่ พี.อาร์.ซาร์การ์ (P.R.Sarkar)ค.ศ. 1959 เชื่อว่าแนวคิดนี้ จะพัฒนาให้คนสมบูรณ์ โดยเน้นด้านร่างกาย จิตสำนึก จิตใต้สำนึก และจิตเหนือสำนึก นั่นคือเด็กจะต้องมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงสวยงาม ด้วยการส่งเสริมให้ออกกำลังกาย รวมถึงการพัฒนาด้านอารมณ์ และสติปัญญาควบคู่ไปด้วย เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายความเป็นคนที่สมบูรณ์ กิจกรรมของนีโอฮิวแมนนิสจะต้องสอดคล้องกับหลัก4 ข้อคือ คลื่นสมองต่ำ การประสานของเซลล์สมอง ภาพพจน์ต่อตนเอง และการให้ความรัก
แนวคิดนี้ว่าด้วย เรื่องของการประพฤติตนในกรอบคุณธรรมและศีลธรรม รวมทั้งการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ความเชื่อว่าพลังแห่งความรัก(Universal Love) เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล ทำให้คนเราอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข  มีจิตใจงดงาม มีคลื่นสมองต่ำลงเห็นอกเห็นใจและอยากช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น  ชาวนีโอฮิวแมนนิสจะร้องเพลงมันตรา Babanam Kevalam ซึ่งทำให้คลื่นสมองต่ำลงอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นการเพิ่มพลังแห่งความรักตนเองและผู้อื่น ซึ่งแนวคิดนี้พัฒนาเป็นแนวคิด Prout(Progressive  Utilization  Theory) หรือเรียกเป็นภาษาไทยว่า ทฤษฎีอรรถประโยชน์  ซึ่งจะกล่าวถึงในครั้งต่อไป
                 จุดเด่นของชาวนีโอแมนนิสที่เป็นรูปธรรม  คือ การมีเป้าหมายและวิธีในการดำเนินชีวิตด้วยวิธีการทางบวก ไม่คิดลบพูดลบกับตัวเองและผู้อื่น ไม่นินทา ไม่ดูถูก ไม่ซ้ำเติมใคร  ไม่นิยมอาหารจากเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เลือกบริโภคอาหารที่ให้พลังชีวิตสูง เช่น ผักสด ผลไม้ โยเกิร์ต ถั่ว และเมล็ดธัญพืชเป็นหลัก  มีความสุขกับชีวิตเรียบง่าย กินอยู่แบบพอดี มีวินัยในการใช้จ่าย ไม่นิยมของฟุ่มเฟือย ชอบแบ่งปันส่วนเกินให้ผู้ที่อ่อนแอกว่า และที่สำคัญคือ การชอบทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นมากกว่าเพื่อตัวเอง
            การประยุกต์ใช้กับเนื้อหาในหนังสือกระบวนการพัฒนาหรือการเปลี่ยนแปลงตนเองให้มีศักยภาพต้อง การพัฒนาจากภายในตัวเอง ใช้กระบวนการที่เกิดจากการพิจารณาตนเอง และผลลัพธ์จากการเปลี่ยนแปลง   พัฒนาเกิดขึ้นจากปัจเจกบุคคล

ทฤษฎีการตั้งเป้าหมาย (Goal Setting Theory)
ทฤษฎีการตั้งเป้าหมาย (Goal Setting Theory) Edwin A. Locke ( 1968) เชื่อว่าการตั้งเป้าหมาย เป็นกระบวนการปรับปรุงการทำงานของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลด้วยการกำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ระยะเวลาการทำงาน มาตรฐานคุณภาพงาน การบริหารโดยวัตถุประสงค์(MBO) เป็นการนำการตั้งเป้าหมายมาใช้ เน้นการมีส่วนร่วม และเป้าหมายที่วัดได้   หลักการตั้งเป้าหมายหรือ ลักษณะของเป้าหมายที่จะนำไปสู่การปฏิบัติงานที่ดีคือ (สร้อยตระกูล : 2541)
1.เป้าหมายมีความเฉพาะเจาะจง เป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงจะช่วยในการปฏิบัติงาน เพราะเป้าหมายจะบอกถึงสิ่งที่ที่ต้องปฏิบัติ
2.เป้าหมายที่มีความยากแต่มีความเป็นไปได้ เป้าหมายที่ยากจะท้าทายดีกว่าเป้าหมายที่ง่าย และจะทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีความพยายามเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่ถ้าเป้าหมายนั้นยากเกินกว่าที่จะทำได้ ก็จะทำให้เกิดความคับข้องใจ
3.การมีส่วนร่วมในการตั้งเป้าหมาย การที่บุคคลมีส่วนร่วมในการตั้งเป้าหมาย จะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของเป้าหมายนั้น เขาจะตั้งใจทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่เขามีส่วนร่วมในการตั้งขึ้น
4.การให้ข้อมูลย้อนกลับ  การตั้งเป้าหมายที่ดีต้องมีการให้ข้อมูลย้อนกลับ เพราะจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานทราบว่าการกระทำนั้นถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง
การประยุกต์ใช้กับเนื้อหาในหนังสือ เป้าหมายที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จต้องเป็นสิ่งที่สำคัญตรงจุดจริงๆเราจะได้ไม่เสียเวลาหาเป้าหมายใหม่เมื่อรู้ว่าเป้าหมายเดิมไม่ตรงจุด  เป้าหมายมีความชัดเจน กำหนดระยะเวลาและมีการวัดเพื่อให้ทราบว่าเราเดินมาถึงไหนแล้วและเดินถูกทางหรือไม่
เป้าหมายจูงใจ (Adam)
Adam กล่าวว่า เป้าหมายจะทำให้เกิดแรงจูงใจได้โดย
1.       ช่วยให้มีการเลือกรับรู้ ควบคุมความสนใจของบุคคลสู่เป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง
2.       ช่วยให้เกิดความพยายามที่จะทำงานให้บรรลุเป้าหมาย
3.       ช่วยให้ความพยายามเป็นไปอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องช่วยให้มีการสร้างกลยุทธ์ และแผนดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
            จากการศึกษาพบว่า การตั้งเป้าที่เจาะจงและยาก จะผลักดันให้ทํางานได้ดีกว่าเป้าหมายที่ง่ายๆ ทั้งนี้ทฤษฎีนี้ไม่ได้ขัดแย้งกับทฤษฎีสามความต้องการ ที่ว่าพวกต้องการความสําเร็จไม่ชอบงานที่ยากเกินไป เพราะว่าทฤษฎี    การตั้งเป้าหมายนี้อธิบายคนทั่วไป ไม่เฉพาะพวกต้องการความสําเร็จ และการตั้งเป้าหมายที่ยากขึ้น จะได้ผลกับพนักงานที่ยอมรับในเป้าที่กําหนดขึ้น หรือเขามีส่วนร่วมในการกําหนดเป้าหมายนั้น ดังนั้นการให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกําหนดเป้าหมายในการทํางานของตน ก็จะช่วยให้เกิดคํามั่นกับเป้าหมายในกลุ่มพนักงานมีมากขึ้น และผลงาน   ดีขึ้น แต่ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่า ยังมีสิ่งอื่นที่มีผลต่อการเป็นไปตามทฤษฎีมากน้อยต่างกัน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ได้แก่ การให้คํามั่นกับเป้าหมาย ความสามารถเฉพาะบุคคล และปัจจัยด้านวัฒนธรรมของประเทศ ซึ่งการให้คํามั่นกับเป้าหมายจะมีมากขึ้น หากให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกําหนดเป้าหมาย ไม่ใช่เป้าหมายที่ผู้บริหารกําหนดมาฝ่ายเดียว พนักงานมีจุดควบคุมภายในตนเอง (internal locus of control) และเป้าหมายนั้นใช้ทั้งองค์การ ส่วนด้านความสามารถเฉพาะบุคคลนั้น หมายถึง การที่บุคคลเชื่อว่าตนสามารถทํางานที่ยากนั้นได้ คนที่มีความสามารถเฉพาะบุคคลสูง จะมีความมั่นใจในการทํางานให้สําเร็จมากขึ้น ดังนั้นในงานที่ยาก จะพบว่าพวกที่มีความสามารถเฉพาะบุคคลตํ่า จะเห็นว่าตนเองความสามารถไม่ถึง ก็จะทําให้เกิดความท้อถอย ส่วนพวกที่มีความสามารถเฉพาะบุคคลสูงจะมีความพยายามมากขึ้นที่จะเอาชนะความท้าทาย และยิ่งสู้ถ้าผลย้อนกลับแสดงว่ายังไม่เข้าเป้า แต่พวกที่มีความสามารถเฉพาะบุคคลตํ่า จะท้อถอยหากผลย้อนกลับไม่ดี และสุดท้ายปัจจัยด้านวัฒนธรรมของประเทศมีผลต่อการใช้ทฤษฎีนี้ด้วย จากการศึกษาพบว่า ทฤษฎีใช้ได้ผลดีกับประเทศทางยุโรป และอเมริกาที่พัฒนาแล้วประชาชนมีเสรีภาพมาก แต่ไม่ค่อยได้ผลดีกับประเทศที่ด้อยพัฒนา
(ที่มา http://gotoknow.org/file/neoindust/The%20Related%20Psychological%20Theory.doc)

คณะจิตวิทยา  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   
                คณะจิตวิทยา  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย    ได้ทำการวิจัยเรื่อง  ความพึ่งพอใจของผู้บริโภค   พบว่า  ความพึ่งพอใจของผู้บริโภค  เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญของคุณภาพสินค้าและบริการ  และอีกประการหนึ่ง  คือ  ความพึ่งพอใจของผู้บริโภคนั้น    ไม่ได้มีเพียงแต่ความพึงพอใจต่อลักษณะของสินค้าหรือบริการเพียงอย่างเดียว   แต่ยังมีความพึงพอใจต่อข้อมูลข่าวสารที่ได้รับผ่านจากสื่อต่างอีกด้วย
            การประยุกต์ใช้กับเนื้อหาในหนังสือเราต้องศึกษาธรรมชาติของลูกค้า  โดยเราต้องทำตัวให้เป็นลูกค้าเอง   เราถึงจะรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร  ชอบอะไร   ที่สำคัญเราต้องมีความจริงใจให้กับลูกค้ามีการบริการที่เท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นลูกค้ารายเก่า   ลูกค้ารายใหม่   นี้คือการเข้าใจธรรมชาติของลูกค้า

Law of attraction (กฎแห่งการดึงดูด)
            Law of attraction (กฎแห่งการดึงดูด) ตัวเราก็เป็นเหมือนแหล่งกำเนิดพลังงาน ซึ่งเป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดสิ่งต่างๆ ถ้าเราคิดบวก ก็จะดึงดูดสิ่งที่เป็นบวกให้กับชีวิตเรามากขึ้น ทำให้เราไม่เครียดและมีความคิดดีๆ ที่จะเผชิญกับเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตได้   ตัวอย่างง่ายๆ ว่าความคิดบวกและความคิดในแง่ลบส่งผลยังไงให้กับเราบ้าง คือ คุณลองคิดดูว่า ถ้าวันนี้คุณเพิ่งได้รับเช็คที่สั่งจ่ายในชื่อของคุณเป็นเงินจำนวน 10 ล้านบาท คุณจะรู้สึกยังไง?  ทีนี้ลองเปลี่ยนเป็นความคิดที่ว่า วันนี้อากาศทำไมมันถึงได้ร้อนขนาดนี้ รถก็ติด เงินก็หาย แถมเจ้านายหาเรื่องเราได้ทั้งวัน งานก็ยังไม่เสร็จ เพราะฉะนั้น ความคิดแง่บวกก็จะทำให้เรารู้สึกเป็นสุข สมองปลอดโปร่ง มีเรี่ยวแรงและกำลังใจที่จะทำงานต่างๆ เพื่อความสำเร็จของเรา ในขณะที่ความคิดในแง่ลบจะทำให้เราหยุดนิ่ง ไม่มองหาทางแก้ปัญหา ท้อแท้ หมดกำลังใจแล้วก็บ่น บ่น บ่น  ตัวเราก็ไม่มีความสุข ระดับความเครียดก็จะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆจนใครก็เข้าใกล้ไม่ได้อยู่ที่ไหนก็ร้อนรนไปหมด
               ส่วนการที่จะลบความคิดในแง่ลบออกจากใจ ก็ต้องอาศัยการรู้สึกตัว มีสติ รู้ว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่แล้วก็ฝึกที่จะรีบเปลี่ยนความคิดนั้นซะ ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะ "You are what you think" แล้วก็พยายามหลีกเลี่ยงการบ่น หรือไปคลุกคลีกับคนที่มีความคิดในแง่ลบ เพราะคุณจะอดไม่ได้ที่จะแจมไปกับเขาด้วย แต่ให้เริ่มรู้สึกขอบคุณในสิ่งที่คุณมี ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่ทำให้คุณสามารถชื่นชมกับธรรมชาติรอบกาย เห็นภาพที่สวยงาม ได้ยินเสียงนกร้อง สัมผัสกับสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ รอบตัว แม้แต่น้ำหรืออาหารที่เราได้ดื่ม กินเข้าไปเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายให้แข็งแรง คนที่รักและห่วงใยเราหรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงภายในบ้าน (ถ้ามี)... แล้วคุณจะรู้สึกได้ถึงพลังที่ทำให้คุณมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
                  การประยุกต์ใช้กับเนื้อหาในหนังสือความรู้สึกบวกจะช่วยเป็นแรงขับให้เรากล้าที่จะเดินต่อไป  ส่วนความคิดลบมีประโยชน์เพียงข้อเดียว คือการที่จะทำให้เราเตือนตัวเองว่าให้ทำมันอย่างรอบคอบแค่นั้นเอง  อย่าปล่อยให้ความกลัวนำไปสู่ความล้มเหลว  การสร้างนิสัยคิดบวกให้กับตัวของเรา  เราต้องไปอยู่ใกล้คนที่เขาคิดบวกเพราะจะสามารถซึมซับนิสัยคิดบวกของเขาได้

มหัศจรรย์แห่งการคิดบวก  ( นอร์แมน วินเซนต์ พีล  )
               หนังสือเล่มนี้จัดเป็นผลงานอมตะชิ้นโบแดงที่พลาดไม่ได้ มันอัดแน่นไปด้วยตัวอย่าง และหลักการที่คนเราต้องใช้เพื่อดำเนินชีวิตในทุกๆ ด้าน นี่เป็นต้นแบบที่ผู้รู้ในยุคนี้ได้ศึกษา และนำมาสอนกันอย่างกว้างขวางและบางที การท้าทายที่มากที่สุดประการหนึ่งก็คือเราจะกลายเป็นคนคิดบวกอย่างแท้จริงได้อย่างไรนั่นเอง "หลักการคิดบวก" เดี๋ยวนี้ได้กลายเป็นไอเดียที่แพร่หลายยิ่งกว่าโรคติดต่อใดๆ ก็ว่าได้ แต่น้อยนักที่จะมีใครเข้าใจความหมายของมัน สิ่งที่ตามมาคือ "การคิดบวก" มักถูกตีความที่ผิดและบิดเบือนได้มากที่สุดอย่างน่าประหลาด เช่น ยามใด ที่คุณเกิดกังวลในเรื่องใดขึ้นมาก็ตาม คุณอาจถูกกล่าวหาได้โดยง่ายว่า " นั่นนายกำลังคิดติดลบอยู่นะเพื่อน"เห็นได้ชัดว่าผู้พูดไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงแม้แต่น้อยและจะใช้มันทุกโอกาสก็ว่าได้ ความจริงก็คือคนที่กังวลอาจเป็นคนประเภท    "คิดบวกตัวจริง"   ก็ได้ ตราบใดที่เขามุ่งเอาใจใส่ต่อการแก้ปัญหาที่เขากังวลแทนการ "อ้อนวอนหรือหวัง" โดยไม่พยายามทำอะไรเลย ฉะนั้น    "คนคิดบวก"    จะเน้น "การกระทำ"    เราไม่สามารถตัดสินคนได้จากคำพูดหรอกนะ จงดูสิ่งที่เขาทำจะดีกว่า       และนี่คือหนังสือที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่จะทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นในชีวิตของคุณได้      คุณจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่เฉลียวฉลาดเยือกเย็นรู้สึกมั่นคงและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขที่คุณแสวงหามานาน     
            การประยุกต์ใช้กับเนื้อหาในหนังสือการมองโลกในด้านบวก เป็นการคิดแต่ด้านดีๆเพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นในสิ่งที่เรากำลังทำและเปรียบเหมือนกับสิ่งดีๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้เรามีเรี่ยวแรงทำในสิ่งต่างๆ และสามรถทำให้เราสามารถที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้

 การคิดลบ    
             อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์ ความคิดจึงเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการแสดงออกของคุณ แล้วทำไมคุณจึงปล่อยให้ความคิดทางลบชักนำให้คุณเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจ มีแต่ความกลัว ความหวาดระแวง หรือคิดไปเองทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทดลองปฏิบัติเลย การเสริมสร้างและพัฒนาตนเองให้เกิดความมั่นใจจึงเป็นสิ่งที่คุณควรแสวงหาและฝึกให้ผู้อื่นมีความมั่นใจตามไปด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าหลายองค์การได้กำหนดความเชื่อมั่นในตนเองเป็นความสามารถ หรือ Competency หนึ่งที่คาดหวังจากพนักงาน โดยจะกำหนดเป็นพฤติกรรมที่ต้องการให้พนักงานในระดับตำแหน่งงานนั้นๆ แสดงออกให้เห็น ซึ่งดิฉันขอนำเสนอชุดพฤติกรรมในส่วนของความเชื่อมั่นในตนเองความเชื่อมั่นในตนเองนั้น เป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนและฝึกปฏิบัติได้ ขอให้คุณหมั่นฝึกตนเองในเกิดความมั่นใจ เพราะความคิดนี้เองจะทำให้คุณเกิดพลังแห่งการกระทำ และพบว่ามีหลายคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน เหตุเพราะพวกเค้ามีความมั่นใจในตนเอง จงพยายามปลุกฝังความเชื่อมั่นในตนเองให้เกิดขึ้น แล้วคุณจะเป็นผู้หนึ่งที่ประสบผลสำเร็จในการทำงานเช่นเดียวกับคนอื่นที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจากความเชื่อมั่นของตน                
( ที่มาhttp://www.hrtothai.com/index.php?option=com_content&task=view&id=633&Itemid=154)
              การประยุกต์ใช้กับเนื้อหาในหนังสือมองโลกในด้านลบ  คือการไม่กล้า  ความกลัว  ไม่กล้าทำเพราะกลัวล้มเหลว  มันก็จะทำให้เราไม่สามารถที่ประสบความสำเร็จได้เลย

การปล่อยวาง   (มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย)
            การปล่อยวางจะทำให้เกิด จิตว่างตามหลักพระพุทธศาสนา คือ เมื่อวาง ก็จะว่าง เมื่อว่างก็จะรู้ เมื่อรู้ก็จะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ และผลสุดท้าย ก็คือปัญญา ความแจ่มแจ้งและความหลุดพ้นไปโดยลำดับ นักปฏิบัติธรรมโดยมาก ปฏิบัติธรรมแบบไม่ปล่อยวาง และก็ไม่รู้ว่าการปฏิบัติธรรมแบบปล่อยวางเป็นอย่างไร เพราะเหตุตั้งจิตไว้ผิดตั้งแต่เริ่มต้น กล่าวคือ เริ่มต้นปฏิบัติธรรม ก็มีอัตตาแฝงไปตั้งแต่ต้น เช่น พยายามทำจิตให้นิ่ง ตั้งใจ หรือมุ่งให้ได้ผลอย่างใดอย่างหนึ่ง แทนที่จะปฏิบัติด้วยการฝึกปล่อยวาง คือ ค่อยๆวางไปตั้งแต่ท่านั่งหรือร่างกายที่ตึงเกร็ง จนไปถึงการปล่อยวางความพยายามหรือความตั้งใจใดๆที่ต้องการให้เกิดให้เป็นขึ้น ไปจนถึงการค่อยๆปล่อยวางความคิดนึก และความรู้สึกอันเป็นอาการทางใจไปโดยลำดับ       ประโยชน์ของการปล่อยวาง
ถ้าจะมีใครบอกว่า โยนทิ้งเถอะ แล้วจะดีอย่างนั้น เป็นประโยชน์อย่างนี้ เราก็ยังไม่ยอมโยนทิ้งอยู่นั่นแหละ เพราะกลัวแต่ว่าจะไม่มีอะไรเหลือ ก็เลยแบกก้อนหินหนักไว้ จนเหนื่อยอ่อนเพลียเต็มที จนแบกไม่ไหวแล้วก็เลยปล่อยมันตกลง ตอนที่ปล่อยให้มันตกลงนี้แหละก็จะเกิดความรู้เรื่องการปล่อยวางขึ้นมาเลย เราจะรู้สึกเบาสบาย แล้วก็รู้ได้ด้วยตนเองว่า การแบกก้อนหินนั้นมันหนักเพียงใด แต่ตอนที่เราแบกอยู่นั้นเราไม่รู้หรอก ว่าการปล่อยวางมีประโยชน์เพียงใด
ดังนั้นถ้ามีใครมาบอกให้ปล่อยวาง คนที่ยังมืดอยู่ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจหรอก ก็จะหลับหูหลับตาแบกก้อนหินก้อนนั้นยังไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งมันหนักจนเหลือที่จะทนนั่นแหละ ถึงจะยอมปล่อยแล้วก็จะรู้สึกได้ด้วยตนเอง ว่ามันเบามันสบายแค่ไหนที่ปล่อยมันไปได้ ต่อมาเราอาจจะไปแบกอะไรอีกก็ได้ แต่ตอนนี้เราพอรู้แล้วว่า ผลของการแบกนั้นเป็นอย่างไร เราก็ปล่อยมันได้โดยง่ายขึ้น ความเข้าใจในความไร้ประโยชน์ของการแบกหาม และความเบาสบายของการปล่อยวางนี่แหละ คือตัวอย่างที่แสดงถึงการรู้จักตัวเอง ความยึดมั่นถือมั่นในตัวของเราก็เหมือนก้อนหินหนักก้อนนั้น พอคิดว่าจะปล่อยตัวเราก็เกิดความกลัวว่าปล่อยไปแล้วก็จะไม่มีอะไรเหลือ เหมือนกับที่ไม่ยอมปล่อยก้อนหินนั้น แต่ในที่สุดเมื่อปล่อยมันไปได้ เราก็จะรู้สึกเองถึงความเบาสบายในการที่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น
          การประยุกต์ใช้กับเนื้อหาในหนังสือเราควรปล่อยวาง อย่ามัวไปนั่งเศร้าอยู่กับมัน  เราควรถามตัวเองว่ามันเกิดจากอะไรแล้วทำการแก้ไขที่ต้นเหตุ  เราปล่อยวางแต่อย่าละเลยเพราะจะทำให้ความผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นซ้ำอีก   เราต้องยอมรับในความทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  ถ้าเราจมอยู่กับความทุกข์นั้นแล้วเราได้อะไร  ถ้าเราไม่ก้าวออกจากความทุกข์จะส่งผลอะไรกับตัวเราบ้างลองคิดและคงตัดสินใจก้าวออกจากความทุกข์   มองว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นจะช่วยทำให้เราแข็งแกร่ง  เป็นจุดเริ่มต้นของเรา

การต่อยอดทางธุรกิจ  (ยุ้ย อินเตอร์ )
                การตั้งอยู่บนความไม่ประมาท เป็นสัจธรรมชีวิตข้อหนึ่งซึ่งอาจจะดูเชย แต่ไม่ล้าสมัยทำให้ใครต่อใครรับมือกับวิกฤต       เมื่อเดินมาถึงทางแยกชีวิตมาแล้วหลายยุคหลายสมัยจากคนรุ่นปู่ สู่คนรุ่นพ่อมาถึงปัจจุบัน   หากนั่นคือทฤษฎีบทหนึ่งที่ดีของชีวิตเส้นทางในการดำเนิน     ธุรกิจก็เป็นเช่นนั้น การเติบโตแบบก้าวกระโดดและตั้งอยู่บน   ความประมาททำให้ธุรกิจที่ครั้งหนึ่งประสบความสำเร็จล้มเหลว   มาแล้วหลายต่อหลายหนเมื่อคราวที่ต้องต่อยอดและขยายธุรกิจ  และเป็นเหมือนการเดินทางมาถึงทางแยกสำคัญที่ต้องตัดสินใจ    วันนี้เราภูมิใจเสนอ 10 เส้นทางสู่การเติบโตของธุรกิจเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจเมื่อคุณกำลังคิดที่จะขยายกิจการ
             1.ขยายสาขา เป็นเรื่องที่แสนธรรมดาของการขยายกิจการ     ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ดังนั้นมีข้อ   ควรระวังโดยต้องคำนึงถึงความเหมาะสมจากทั้งภายในและภายนอก ภายในคือการบริหารจัดการในบริษัทการเตรียมแผนธุรกิจสำหรับสาขาใหม่ เงินทุนหรือสายป่านในการทำธุรกิจและภายนอกคือการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและกำลังซื้อของคน
              2.
ขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ เบทตี้ เฟทเทอร์ เจ้าของยังค์ เรมเบรนด์ ธุรกิจสอนวาดภาพสำหรับเด็กเลือกที่จะใช้วิธีการนี้เพราะต้องการขยายสาขาแบบรวดเร็วและให้นพนักงานของเราได้มีโอกาสเป็นเจ้าของธุรกิจ จากเดิมเรารองรับเด็กได้เพียง 2,500 คนในอิลลินอยส์ แต่ตอนนี้เราสามารถรองรับเด็กได้ถึง 9,500 คนทั่วประเทศ แต่ที่สำคัญในการขยายธุรกิจแบบนี้ต้องไม่ลืมว่า การเป็น "ผู้นำ" ที่เข้มแข็งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาวิสัยทัศน์หลักซึ่งเป็นหัวใจในการดำเนินธุรกิจไว้ให้ได้แต่สำหรับเมืองไทยแฟรนไชส์เป็นวิธีที่ต้องคิดให้หนักทีเดียว
                  3.
ทำประโยชน์จาก "สิทธิบัตร" ของสินค้า นี่เป็นการขยายธุรกิจที่เวิร์กสุดๆ วิธีหนึ่งโดยไม่ต้องเสี่ยง ว่ากันว่า คุณสามารถทำเงินจากยอดขายสินค้าเมื่อต้องผลิตซ้ำ เก็บค่าลิขสิทธิ์ในการใช้แบรนด์ หรือซอฟต์แวร์ภายใต้สิทธิบัตรที่คุณเป็นเจ้าของได้โดยไม่ต้องลงทุนอะไร เป็นเพียงการสร้างรายได้จากส่องที่มีอยู่เท่านั้นในต่างประเทศวิธีนี้ได้รับความนิยมและได้ค่าตอบแทนที่คุ้มค่าส่วนในเมืองไทยการจดสิทธิบัตรและการเริ่มต้นใช้ประโยชน์จากสิทธิบัตรเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
                 4.
สร้างพันธมิตร เป็นอีกวิธีที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด การจับคู่แบบถูกที่ถูกทางมีโอกาสทำเงินได้มหาศาลคู่หนึ่งคือ จิม ลาบาดาย นักการตลาดกับ ไรอัน ลีเจ้าตำรับสอนฟิตเนสแบบมืออาชีพ การเป็นพันธมิตรของทั้งคู่ทำให้ยอดขายซีดีที่ทำโดยไรอันเพิ่มขึ้นถึง 500% ซึ่งวิน-วินทั้ง 2 ฝ่ายและสำหรับการสร้างพันธมิตร เพิ่งจะได้รับความนิยมในเมืองไทยแทนแฟรนไชส์ และเชื่อเถอะว่าในเวลาอีกไม่นานเราจะได้เห็นวิธีนี้ในหลายๆ ธุรกิจ
            การประยุกต์ใช้กับเนื้อหาในหนังสือการต่อยอดความสำเร็จจะเป็นการขยายฐานความสำเร็จออกไป  ต่อให้สูงไปจากฐานเดิม  การทำธุรกิจต่อยอดจากของเดิมที่มีอยู่เป็นการเสริม  จุดที่แข็งให้กับสินค้า  เป็นการเดินไปก่อนคู่แข็งขันเพิ่มความก้าวหน้าและสามารถขยายธุรกิจไปในแนวทางใหม่ได้เหมือนกันแต่ต้องใช้ความรู้  ความสามารถ  ความถนัดที่มาก

เคล็ดลับ..สู่ความสำเร็จ  (ธรรมะ ดอทเน็ท)
              1. หากคุณกำลังล้มเหลวอยู่ ให้คุณลองประเมินดูว่า อะไรกันแน่ที่เป็นสาเหตุ แห่งความล้มเหลวของคุณ แล้วพยายามแก้ไขที่สาเหตุนั้น เช่น หากล้มเหลว เพราะคุณมีความสามารถไม่พอ คุณก็ต้องพัฒนาตนเองให้มีความสามารถมากขึ้น ถ้าคิดว่าเป็นเพราะคุณไม่ได้ตั้งใจ ทำไปเล่น ๆ ไม่ได้พยายามเท่าที่ควร คราวหน้า คุณก็ต้องทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังทรัพย์ให้มากขึ้นกว่าเดิม
                2.นอกจากคุณต้องประเมินตัวเองตามความเป็นจริงแล้ว คุณต้องตั้งเป้าหมายของคุณ ให้อยู่บนความเป็นจริงที่คุณจะประสบผลสำเร็จได้ด้วย ถ้าคุณตั้งเป้าหมายสูงมากเกินไป โอกาสล้มเหลวก็มี แต่ถ้าตั้งเป้าหมายต่ำไป แม้จะสำเร็จได้โดยง่าย แต่ก็ไม่สร้างความภาคภูมิใจให้กับคุณเท่าที่ควร และคุณก็อาจจะไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ หรือไม่มีโอกาสพัฒนาตัวเองให้มีความสามารถสูงขึ้นกว่าที่เคยเป็นอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น เป้าหมายของคุณจึงควรมีความยากพอสมควรท้าทายความสามารถทำให้คุณต้องออกแรงพยายามบ้างจึงจะดีที่สุด
              3. อย่าปล่อยให้ความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ทำให้คุณหวาดกลัวเข็ดขยาด ไม่กล้าที่จะต่อสู้ต่อไปอีก ขอให้คิดว่าความล้มเหลวเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถ ทำให้คุณได้พิจารณาตัวเอง เพื่อแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น และถ้าดูตัวอย่างของบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว จะพบว่า พวกเค้าเหล่านั้น ล้วนผ่านความล้มเหลวกันมาแล้วทั้งสิ้น สุดแต่ว่าใครจะมากกว่าน้อยกว่ากันเท่านั้นเอง ดังนั้น ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จ คุณก็ต้องพยายามต่อไป
               4.คุณต้องเข้มแข็ง อย่าไปใส่ใจกับปากคนหรือความคิดเห็นของคนอื่นมากจนเกินไป คุณจะทำอะไรที่คุณคิดแล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง และผู้อื่น คุณก็จงมุมานะ ทำให้สำเร็จ
               
5.คุณอย่าหมกมุ่นกับความล้มเหลวให้มากเกินไป จะเสียใจผิดหวัง อับอายแค่ไหนก็ปล่อยให้ผ่านไป บอกกับตัวเองให้ขึ้นใจว่า การล้มเหลวครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า เราจะล้มเหลวตลอดไป การล้มเหลวเป็นบทเรียนที่ดี ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น จะได้ไม่ทำผิดพลาดอีก ความล้มเหลวเป็นสิ่งที่ท้าทาย เราจะต้องเอาชนะให้จงได้ นักสู้ผู้ชนะทั้งหลาย มักจะมีความคิดว่า ทำอย่างไร จึงจะประสบความสำเร็จได้ ในขณะที่คนใจไม่สู้ ใจเสาะ มักจะคอยคิดเพียงว่า ทำอย่างไรจึงจะหลีกเลี่ยงความล้มเหลวได้พ้นเท่านั้น
            การประยุกต์ใช้กับเนื้อหาในหนังสือเราไม่ควรที่จะไปนั่งเศร้าอยู่กับความทุกข์  เราควรถามตัวเองว่ามันเกิดจากอะไรแล้วทำการแก้ไขที่ต้นเหตุ  เราปล่อยวางแต่อย่าละเลยเพราะจะทำให้ความผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นซ้ำอีก   เราต้องยอมรับในความทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  ถ้าเราจมอยู่กับความทุกข์นั้นแล้วเราได้อะไร  ถ้าเราไม่ก้าวออกจากความทุกข์จะส่งผลอะไรกับตัวเราบ้างลองคิดและคงตัดสินใจก้าวออกจากความ

ความสำเร็จ   (รศ. สุเชาวน์ พลอยชุม)
             ความสำเร็จเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนใฝ่หา แต่มีคนจำนวนมากทีเดียวที่ยังไม่เข้าใจความหมาย ของคำว่าความสำเร็จอย่างแท้จริง จึงทําให้วิธีคิดวิธีปฏิบัติตนเพื่อให้บรรลุสิ่งที่มุ่งหวังไม่ถูกต้อง  ทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมายที่วาดหวังไว้ อีกทั้งบางคนยังเข้าใจว่าความสำเร็จนั้นจะต้องเกิดจากการเป็นคนเก่งมีความฉลาดเป็นเลิศเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่
   แท้จริงแล้ว ความสำเร็จเป็นเรื่องของแต่ละบุคลคล ความหมายของความสำเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกัน คริสโตเฟอร์ มอเลส นักเขียนชาวอเมริกันกล่าวว่า"There is only one success-tobe able to spend your own way" "สิ่งเดียวที่ถือเป็นความสำเร็จ  นั่นคือการได้ใช้ชีวิตไปตามทางของคุณเอง"เป็นการได้ใช้ชีวิตตามที่ตนเองต้องการ "ได้เป็นในสิ่งที่ตัวเองอยากเป็น" เป็นอิสระและมีความหมายเฉพาะบุคคลนั้นๆ
                 แม้ความสำเร็จของเรา จะไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ทีสุดในโลก อาจไม่ใช่สิ่งที่สร้างความร่ำรวยมากที่สุดเมื่อเทียบกับคนทั่วไปแต่เป็น"สิ่งที่ดีที่สุด และยิ่งใหญ่ที่สุด"เมื่อเทียบกับความมุงหวังของตนเอง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความสำเร็จนั้นได้สร้างคุณค่าให้กับผู้อื่น  หรือบุคคลที่ตนเองรักและห่วงใย ก็จะเป็นความสำเร็จที่สมบูรณ์และยิ่งใหญ่สำหรับตัวเองจริงๆ
         
   การประยุกต์ใช้กับเนื้อหาในหนังสือความสำเร็จในชีวิตเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องการ   และความสำเร็จในชีวิตไม่ใช่สิ่งที่จะต้องแลกมาด้วยการทุ่มเทจนตัวเองต้องเดือดร้อน และไม่มีความสุขในทุกๆ วันของการใช้ชีวิต เหมือนที่ผู้เขียนได้ทิ้งท้ายเอาไว้ในหนังสือว่า   "การประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่การมีทรัพย์สมบัติร่ำรวย มีคนนับหน้าถือตาในสังคม
  
ทฤษฎีพัฒนาการด้านบุคลิกลักษณะของมนุษย์  โดย คริส   อาร์กีริส   (Chris   Argris)
            อาร์กีริส  ได้เสนอทฤษฎีพัฒนาการด้านบุคลิกลักษณะของมนุษย์  ขึ้นโดยกล่าวว่าขณะที่มนุษย์เติบโตจากเด็กจนถึงผู้ใหญ่ นั้นจะมีการพัฒนาคือ ในช่วงวัยเด็กจะมีลักษณะของการการพึ่งพาคนอื่น มีความสนใจสิ่งต่างๆในวงแคบ  ไม่ชอบทำกิจกรรมมากนัก  ชอบที่จะเป็นผู้ตาม  และมีการตามใจตนเองเป็นต้น   เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ชอบความเป็นอิสระ  สนใจสิ่งต่างๆในวงกว้าง  ชอบเป็นผู้นำ กรใช้ระเบียบหรือเครื่องมือบังคับจะเป็นการขัดขวางการพัฒนาที่จะนำไปสู่การมีบุคลิกที่สมบูรณ์  ขาดความเป็นอิสระ  ขาดความคิดสร้างสรรค์
            การประยุกต์ใช้กับเนื้อหาในหนังสือถ้าต้องการให้เกิดการพัฒนาขึ้นเราไม่ควรที่จะตั้งระเบียบบังคับตนเองเกินไปเพราะยิ่งบังคับยิ่งไม่พัฒนา


บทวิพากษ์
หนังสือ  เส้นทางคนสำเร็จ  จัดพิมพ์เมื่อปี    2552  โดยสำนักพิมพ์    พิชญ    เป็นหนังสือที่มีขนาดเล็ก      มีความหนา    136    หน้า  เป็นหนังสือ How to เพื่อความสำเร็จในชีวิตที่ผู้เขียน คุณน้ำฝน กสินชัยศักดิ์ ถ่ายทอดผ่านตัวอักษรโดยใช้ชีวิตจริงเป็นต้นแบบ เรื่องราวที่นำเสนอจึงออกมาในสไตล์อ่านแล้วเข้าใจง่าย ที่สำคัญสามารถนำไปใช้ได้จริง   เพราะความสำเร็จในชีวิตเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องการ แต่ส่วนมากแล้วจะเป็นได้แค่ความฝัน หรือภาพความสำเร็จในจินตนาการเท่านั้น การดึงภาพความสำเร็จใน   จินตนาการมาสร้างให้เป็นจริงนั้นไม่ค่อยได้เกิดขึ้น ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ ทำอย่างไรให้เราจึงจะสร้างพลังภาพจินตนาการแห่งความสำเร็จในใจให้มีพลังเด่นชัดยิ่งขึ้น เพื่อที่จะใช้พลังนั้นในการลงมือทำ และทำอย่างไรจึงจะสามารถรักษาความเด่นชัดภาพของความสำเร็จที่ตั้งไว้ได้ตลอดจนกว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะภาพแห่งความสำเร็จในใจมีผลอย่างยิ่งต่อพลังในการลงมือทำ   นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้นำเสนอมุมมองของความสำเร็จที่มาพร้อมกับความสุขด้วย เพราะความสำเร็จในชีวิตไม่ใช่สิ่งที่จะต้องแลกมาด้วยการทุ่มเทจนตัวเองต้องเดือดร้อน และไม่มีความสุขในทุกๆ วันของการใช้ชีวิต เหมือนที่ผู้เขียนได้ทิ้งท้ายเอาไว้ในหนังสือว่า   "การประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่การมีทรัพย์สมบัติร่ำรวย มีคนนับหน้าถือตาในสังคม หรือเป็นคนมีชื่อเสียงเท่านั้น แต่การประสบความสำเร็จที่แท้จริงนั้นเราต้องเป็นที่หนึ่งทั้งในด้านการใช้ชีวิต การทำงานและครอบครัว หมายความว่าเราต้องประสบความสำเร็จอย่างมีความสุข ในทุกๆ ด้านของชีวิต นี่แหละเส้นทางคนสำเร็จที่แท้จริง"
                  ผู้เขียนได้บอกไว้ในหนังสือเส้นทางคนสำเร็จตอนหนึ่งว่า หลายคนได้แค่คิด แต่ไม่เคยได้ลงมือทำ จึงไม่ประสบความสำเร็จ ในขณะที่บางคน คิดแล้วลงมือทำเลย เขาจึงประสบความสำเร็จ การคิดและลงมือทำอย่างรอบคอบและมุ่งมั่นจึงเป็นสิ่งแรกที่คนประสบความสำเร็จต้องมีเส้นทางคนสำเร็จ บอกให้รู้ถึงขั้นตอนการคิดเพื่อสร้างกำลังใจ การคิดเพื่อลงมือทำ การแก้ปัญหาเมื่อได้พบเจอ การมุ่งมั่นต่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ การตรวจสอบตัวเองและสิ่งที่ได้ทำไปแล้วเพื่อให้มั่นใจว่าทำถูกวิธี ถูกทางที่จะประสบความสำเร็จได้โดยไม่เสียเวลาไปกับสิ่งอื่น  เส้นทางคนสำเร็จจึงมีเนื้อหาที่เมื่ออ่านแล้วจะกระตุ้นให้ผู้ที่อยากประสบความสำเร็จ แต่ยังไม่ได้ลงมือทำ เกิดการลงมือทำ และเป็นแนวทางให้คนที่กำลังลงมือได้รู้วิธีรับมือกับสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาจนสามารถประสบความสำเร็จได้ พร้อมด้วยข้อคิดเพื่อให้กำลังใจแก่ทุกคนที่ต้องการประสบความสำเร็จ