วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

บันทึกสุดท้ายของ ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร (อภิวัฒน์ วัฒนางกูร)

บันทึกสุดท้ายของ ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร (อภิวัฒน์ วัฒนางกูร)
>>>> บันทึกสุดท้ายของ ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร (อภิวัฒน์ วัฒนางกูร)
>>>>
>>>> จากนิตยสารรายเดือน จีเอ็ม ฉบับเดือน พฤษภาคม 2549 หน้า232-233
>>>>
>>>> 1)ตอนที่ผมไปเรียนต่อต่างประเทศ เราจะกลัวไปหมดทุกเรื่อง
>>>> แต่คุณแม่เขียนจดหมายมาสอนผมว่า อย่ากลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น
>>>> เพราะถ้าเราไปตั้งท่ากลัวเสียก่อน
>>>> มันก็จะไม่เกิดสติปัญญาที่จะไปแก้ไขปัญหา สู้เราทำตัวสบาย ๆ
>>>> แล้วแก้ไขปัญหาไปตามธรรมชาติจะดีกว่า
>>>>
>>>> 2)คนไทยเราเรียนปริญญาโทเพราะคิดว่าเรียน ๆ ไปเถอะ
>>>> เราแยกเอาการเรียนรู้และชีวิตออกจากกัน
>>>> เชื่อแต่ว่าพอจบการศึกษาแล้วค่อยใช้ชีวิต
>>>> แต่ในต่างประเทศการเรียนรู้เป็นการกระทำที่ต่อเนื่อง
>>>> มันเป็นสิ่งที่เคียงคู่กับการใช้ชีวิต
>>>>
>>>> 3)คุณพ่อ-คุณแม่ผมเป็นคนที่เชื่อมั่นในการศึกษา
>>>> การศึกษาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมีใครขโมยไปได้
>>>> การศึกษาเป็นทรัพย์สินที่ต่อเนื่อง
>>>> คุณพ่อ-คุณแม่จึงพยายามทุกวิถีทางให้ผมมีการศึกษาที่ดี
>>>> ยอมขายที่นาเพื่อให้สามารถส่งเสียผมไปเรียนได้
>>>> ทุกครั้งที่เห็นเด็กไม่สนใจการเรียน ผมจะรู้สึกเศร้าใจมาก ๆ
>>>> หากมีโอกาสได้ทำบุญ ผมจะเลือกทำบุญกับโอกาสทางการศึกษาของเด็ก
>>>>
>>>> 4)การที่คนเราจะมองหาจุดมุ่งหมายของชีวิตให้เจอ มันเกิดขึ้นต่างรูปแบบกัน
>>>> ต้องถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เราอยากจะทำที่สุดในชีวิตกันแน่
>>>> ผมเชื่อว่าทุกคนต้องหาให้เจอ ไม่ช้าก็เร็ว
>>>> เราจะได้มีพลังขับเคลื่อนให้ไปถึงจุดมุ่งหมาย
>>>>
>>>> 5)ผมคร่ำเคร่งกับการเรียนเพราะเป็นสิ่งที่เราไปอยู่ตรงนั้นเพื่อที่จะทำมัน
>>>> เราไม่ได้ไปอเมริกาเพื่อท่องเที่ยว เราไปเพื่อศึกษา
>>>> อย่าลืมว่าผมทำงานไปด้วย
>>>> เพราะฉะนั้นผมไม่ได้พลาดโอกาสที่จะเรียนรู้ชีวิตในอีกแบบหนึ่ง
>>>> ในขณะเดียวกันผมก็ไม่พลาดโอกาสที่จะเปิดหูเปิดตาไปท่องเที่ยว
>>>> ผมคิดว่าชีวิตผมค่อนข้างจะรอบด้าน
>>>> ได้ศึ่กษาทั้งวิชาการและทำงานแบบผู้ใช้แรงงาน
>>>>
>>>> 6)มองย้อนหลับไป ผมจะเลือกเงินหรือชีวิตเหรอ? ก็ผมนี่ไง
>>>> ผมเป็นตัวอย่างของคนที่มุ่งหน้าหาเงิน
>>>> เพราะว่าผมมีแผนการในชีวิตมากมายที่ต้องสร้างสมเอาไว้เพื่อครอบครัว
>>>> มันไม่ถึงกับลืมใช้ชีวิตหรอก แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้ชีวิตมากกว่า
>>>> ที่สุดแล้วมันก็นำพาซึ่งความเจ็บป่วย
>>>> ที่สุดแล้วผมก็หาเงินตามจุดมุ่งหมายได้ไม่มากเท่าที่ควร
>>>> เราบอกว่าเราจะทำงานสัก 20 ปี แต่ว่าโอกาสของเรามีแค่ 10 ปี
>>>> เพราะหลังจากที่ตรากตรำทำงานมาหนัก ร่างกายบอกว่ามันทำได้แค่นี้
>>>> เพราะฉะนั้นก็ลงเอยด้วยการที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน
>>>>
>>>> 7)ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงเลือกทั้งเงินและชีวิต
>>>> เพราะว่าเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินก็ยังเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิต
>>>> แต่ว่ามันไม่ใช่สรณะ ผมเลือกที่จะกระจายการทำงาน
>>>> กระจายความทุ่มเทนั้นออกไป เพื่อให้สามารถทำงานได้นานมากขึ้น
>>>> และตัวผมเองสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นาน ๆ
>>>>
>>>> 8)ความทรงจำที่มีค่ามากสำหรับผม มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเล็ก ๆ
>>>> ที่ผมอยู่กับตัวเอง
>>>>
>>>> 9)ผมเคยเขียนการ์ดเล็ก ๆ ให้ภรรยา สรุปความได้ว่า
>>>> เวลาที่คนสองคนเดินไปบนชายหาด
>>>> ตอนที่เราหันกลับมามองก็จะเห็นเป็นรอยเท้าเล็ก ๆ 2 คู่ เดินไปเดินมา
>>>> ทำไมเราจึงเห็นรอยเท้าเหลืออยู่แค่คู่เดียวล่ะ อีกคนหนึ่งหายไปไหนหรือ
>>>> คำตอบคือไม่มีใครหายไปไหนหรอก แต่อีกคนกำลังอุ้มอีกคนหนึ่งเอาไว้
>>>> ผมหมายถึงตัวผมอุ้มเขาอยู่
>>>> เป็นคำมั่นสัญญาว่าผมจะดูแลเขาไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
>>>>
>>>> 10)ครั้งหนึ่งที่ผมฟังดุริยมนตราซึ่งเป็นเสียงสวดมนต์ที่ประกอบไปกับดนตรี
>>>> ผมฟังแล้วผมร้องไห้มาก แล้วกอกกับตัวเองว่าถ้าชีวิตผมจะหาไม่จริง ๆ
>>>> ด้วยอาการเจ็บป่วยนี้ ผมอยากจะบอกคุณพ่อกับคุณแม่ว่า
>>>> ผมได้คุณพ่อกับคุณแม่ที่ประเสริฐที่สุด
>>>> ไม่ใช่แค่เลี้ยงดูสั่งสอนให้แนวทางชีวิตในยามที่ผมปกติดีอยู่
>>>> แต่ในยามเจ็บป่วยคุณพ่อ-คุณแม่ไม่เคยห่าง มาหาผมที่โรงพยาบาลทุกวัน
>>>> อยากให้ท่านได้รู้ว่าผมมีคุณพ่อ-คุณแม่ที่ผมไม่สามารถเรียกร้องหาได้ดีกว่านี้จากที่ไหน
>>>>
>>>> 11)ในความเป็นพ่อ ผมให้คะแนนความพยายามมากกว่าผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้น
>>>> ผมคิดว่าคะแนนความพยายามของผมที่ 80
>>>> มันไม่เต็มร้อยหรอกครับเพราะมีข้อจำกัดเรื่องเวลา แต่ลูก ๆ
>>>> มีแกนกลางคือเขามีแม่ที่ดี เพราะฉะนั้นลูก ๆ จะไม่เคยรู้สึกว่าขาดพ่อ
>>>> เพราะว่าแม่ทดแทนได้หมด
>>>> แม่ไม่ใช่เพียงแค่คนที่พยายามรักษาความสมดุลในครอบครัว
>>>> แต่เขาเป็นศูนย์กลางของจักรวาลในครอบครัวเรา นี่ไม่ใช่การถ่อมตน
>>>> แต่เป็นการพูดในความรู้สึกที่แท้จริง เขาเป็นดวงใจของเราทุกคน ให้กลับกัน
>>>> ผมไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าผมทำได้
>>>> เพราะว่าผมอาจจะถนัดเรื่องจัดหามากกว่าการดูแล ใครอยากได้อะไรผมจะหามาให้
>>>> ขอแค่ให้รู้เถอะไม่ต้องเอ่ยปากหรอกผมจะไปหามาให้
>>>>
>>>> 12)ชีวิตผมไม่มีอะไรนอกจากบริษัท เจเอสแอลและครอบครัว ผมมีแค่นี้
>>>> ผมไม่มีอย่างอื่นอีกแล้ว
>>>>
>>>> 13)การเป็นพ่อเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ต้องใช้อะไรเป็นพิเศษ
>>>> ไปมากกว่าความรักทั้งหมด ผมเคยเซ็นหนังสือให้ลูกว่า "สำหรับน้องเพชร
>>>> ด้วยความรักทั้งหมดในหัวใจพ่อ" ถ้าคุณรักลูก
>>>> คุณก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างกับเขา
>>>> และตรงนี้ต่างหากที่เพิ่มเติมมาด้วยสติปัญญา
>>>> พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะมีเวลาอยู่ด้วยกัน
>>>> เรียนรู้ถึงความต้องการและความฝันของเขา
>>>> แต่บางครั้งลูกก็ไม่ได้อยากอยู่กับเราเสมอไป เขาอาจจะมีธุระอื่น
>>>> ฉะนั้นความรักและความเข้าใจจะต้องมาเป็นอันดับต้น เลย
>>>> เราต้องพยายามหาหนทางละมุนละไมที่จะโอบแขนของเขาเข้าไปอยู่ในชีวิตของเขาให้ได้
>>>>
>>>> 14)ผมไม่ขอเปรียบเทียบชีวิตการเป็นพิธีกรของผมกับคนอื่น ๆ
>>>> ตอนที่ทำรายการจันทร์กะพริบใหม่ ๆ ผมจบดอกเตอร์มา
>>>> มันยิ่งสร้างความคาดหวังว่าจะทำอะไรดี ๆ ได้อีกเยอะ
>>>> ต้องศึกษาหาความรู้เยอะ
>>>> อ่านประวัติของแขกรับเชิญมาล่วงหน้าซึ่งจะทำให้เราไม่รู้สึกห่างไกลจากเขา
>>>> รายการจันทร์กะพริบเป็นงานที่ยาก ผมใช้เวลากว่า ๒ ปีจึงจะหาตัวเองพบ
>>>> ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าการเป็นพิธีกรมันคือการแสดง ในเมื่อมันคือกาแสดง
>>>> อะไรล่ะคือบุคลิกภาพจริง ๆของเรา เวลาที่เราขอคำแนะนำจากใคร 10 คน
>>>> เราจะได้คำตอบ 10 อย่าง
>>>> เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว่าที่สุดแล้วผมเชื่อตัวเองอีกว่า
>>>> ผมไม่ใช่คนถามจาบจ้วงหรืออยากให้เฮฮากว่านี้ ผมว่าไม่ใช่ผม
>>>> ผมเป็นคนที่ให้เกียรติคน เป็นคนที่มีบุคลิกพูดง่าย ๆ
>>>> ว่านุ่มนิ่มบางทีมันเป็นจุดอ่อน แต่เราต้องพัฒนาให้เป็นจุดแข็งให้ได้
>>>> เอาความอ่อนโยนมาเป็นเสน่ห์
>>>> เอาความนุ่มนิ่มมาเป็นวิธีการถามคำถามทำให้เกิดความอบอุ่นขึ้น
>>>>
>>>> 15)ครั้งแรกที่ผมสัมภาษณ์ ทอดด์ ทองดี เขาบอกว่ายูรู้ไหม
>>>> ว่าการที่ยืนอยู่ด้วยกันบนเวที มันมีไออุ่นของคนที่อยู่ใกล้กัน
>>>> เขาไม่รู้สึกอบอุ่นแบบนี้กับใครเท่าที่ยืนอยู่ใกล้ผม
>>>> ผมมีความรู้สึกว่านั่นแหละคือการที่เราหาตัวเองเจอ
>>>> ธรรมชาติของผมคือเป็นผู้ชายที่อบอุ่นนั่นเอง
>>>>
>>>> 16)ทุกวันนี้ผมดูทีวีได้ไม่นาน เพราะว่าเสียงมันดังเกินไป
>>>> รายการโทรทัศน์น่าจะมีความนุ่มนวลแล้วค่อยทะยานขึ้นไปถึงความตื่นเต้น
>>>> แต่ทุกวันนี้มันมีแต่ความเปรี้ยงปร้าง อาจเป็นเพราะว่าการแข่งขันมันสูง
>>>> พิธีกรต้องขุดมุกมาใช้เพื่อให้ได้ชื่อว่าสามารถสร้างเสียงฮาได้ตลอดเวลา
>>>> ซึ่งผมคงสอบตกในกรณีนี้ แต่ผมเชื่อว่าความแพรวพราวมันมีได้หลายลักษณะ
>>>> เช่นยิงคำถามแพรวพราวก็ได้ หรือบางทีเขาตอบอะไรมา
>>>> เราอาจจะแสดงความคิดเห็นอะไรกลับไป เป็นความแพรวพราวตรงนี้ก็ได้
>>>> ไม่จำเป็นต้องมีมุกตลอดเวลา
>>>>
>>>> 17)การเป็นพิธีกรคือโอาสที่ได้เรียนรู้ชีวิตของคน
>>>> ได้แบบเรียนชีวิตโดยไม่ต้องซื้อหามา
>>>> เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่ไม่มีอะไรทดแทนได้
>>>> ผมเรียนรู้ชีวิตของชีวิตของผู้อื่น ผมได้ค้นพบว่าชีวิตไม่มีความแน่นอน
>>>> เราต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง
>>>> ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าและในยามที่เรายังมีลมหายใจอยู่
>>>> เราน่าจะได้ใช้โอกาสนั้นทำความดี เป็นสิ่งที่เราจะทิ้งไว้ในโลกนี้
>>>> มันเป็นมรดกของมนุษยชาติอย่างหนึ่งและคนอื่น อาจจะเรียนรู้ได้ในภายหลัง
>>>>
>>>> 18)การมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก เราทำให้ห้วงชีวิตเป็นอะไรก็ได้
>>>> เป็นหนึ่งชีวิตที่เต็มไปด้วยคุณค่าหรือเราทำหนึ่งชีวิตของเราให้เป็นหนึ่งชีวิตที่สร้างความทุกข์ใจให้กับใครสักคนหนึ่งไปตลอดชีวิตก็ได้
>>>> ความยิ่งใหญ่ของชีวิตอยู่ที่ว่าเราจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร
>>>>
>>>> 19)ผมไม่รู้ว่าจำนวนของคนที่เห็นแก่ตัวบนโลกนี้มีเท่าไหร่
>>>> แต่ผมว่าความเห็นแก่ตัวมันเกิดขึ้นได้กับทุก ๆ คนแหละ
>>>> มันคือการชั่งน้ำหนักในสิ่งที่เราจะทำ จริง ๆ
>>>> แล้วก็คงเหมือนกับที่เขาพูดกันว่า ไม่ต้องเป็นคนดีเท่าไหร่หรอก
>>>> ขอแค่เป็นคนเลวน้อยที่สุดก็พอแล้ว
>>>>
>>>> 20)ความกตัญญูรู้คุณคนเป็นสิ่งที่ผมยึดถือเป็นหลักประจำใจ
>>>> คนเราถ้าไม่รู้จักรู้พระคุณคน
>>>> มันทำให้เราหลงลืมไปว่าเรามีชีวิตอยู่ทุกวันได้เพราะอะไร
>>>> คนที่เขาให้เรามาบางทีเขาไม่ได้จดจำเพราะมั่นเป็นการให้ที่แท้จริง
>>>> แต่การที่เราได้รับนั้นหมายถึงการได้ส่วนบุญที่ดีมา
>>>> มันเปลี่ยนชีวิตเรามากเพียงพอที่เราควรจะจดจำว่าเรามาถึงฝั่งฝันนี้ได้อ่างไร
>>>> มีใครบ้างที่ช่วยพยุงเรา ขณะ
>>>> ที่เราว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรมา
>>>> การระลึกถึงพระคุณของคนเป็นสิ่งที่มนุษย์ประเสริฐเขาทำกัน
>>>>
>>>> 21)คนที่เป็นผู้ให้ ในชีวิตผมมีมากและผมไม่มีวันที่จะลืมได้เลย
>>>> ภรรยาผมเขาไม่เคยนึกถึงตัวเองเลย
>>>> เขานึกถึงแต่ว่าทำอย่างไรสามีเขาจึงจะหาย ผมเรียนเรื่องธรรมชาติบำบัด
>>>> ผมรู้สึกเอาเองว่าผมรับพลังดี ๆ จากธรรมชาติมาเยอะ
>>>> เรียนรู้ที่จะรับพลังธรรมชาติจากต้นไม้ ใบหญ้า ผมรับรู้ถึงความปรารถนาดี
>>>> ความหวังดีของคนจำนวนมาก คนเหล่านี้เป็นคนที่ผมไม่มีวันลืมไปจากชีวิตนี้
>>>> แล้วก็ขอเจอกันทุกชาติไป ผมคิดว่าถ้าผมจะหาย
>>>> ก็ได้ด้วยพลังรักที่เขามีต่อผม
>>>>
>>>> 22)ทุกวันนี้ผมมองทุกอย่างด้วยสายตาเป็นกลางมากขึ้น
>>>> ผมมองว่าถ้ามันจะเป็นความรู้สึกที่สุด ผมก็จะไม่ดีใจจนเกินเหตุ
>>>> หรือถ้ามันจะทุกข์นัก ผมก็จะไม่ทุกข์มาก ผมจะอยู่ตรงกลางด้วยความหวังว่า
>>>> วันของเราจะต้องมาถึง
>>>> เราได้ฟังเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับคนหลายคนที่เป็นมะเร็ง
>>>> ใจผมก็อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับผมบ้าง
>>>> เมื่อไหร่ปฏิหาริย์จะเกิดขึ้นกับผมสักที ผมท้อแท้บ้าง แต่ผมไม่ยอมแพ้พ่าย
>>>> ทำไมยังเจ็บปวด เศร้า ทุกขเวทนาอยู่เรื่อย แต่ผมปฏิเสธ
>>>> ที่จะตายไปกับโรคนี้
>>>> 23)ผมเสียใจอยู่ตลอดมาที่มีเวลาให้กับครอบครัวน้อยเกินไป อยากบอกลูกว่า
>>>> ถ้าพ่อเลือกได้ พ่อคงอยู่บ้านให้มากกว่านี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น