วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562

ทฤษฎีแห่งความรัก การหมดรัก คือการหมด Passion จริงหรือ


ทำไม Passion จึงสำคัญ
เพราะ Passion เป็นตัวเชื่อมโยง ระหว่า Intimacy ความรู้สึกรัก และ Commitment ความรู้สึกที่ยังอยากรักกันอยู่ไงค่ะ

มีครูบาร์อาจารย์ นักคิด นักเขียน นักจิตวิทยา หลายๆ ท่านให้ความสำคัญกับทฤษฏีแห่งความรักนี้

นักจิตวิทยาโรเบิร์ต สเทิร์นเบิร์ก ได้พัฒนาทฤษฎีแห่งความรักขึ้นมา โดยบอกว่าจะรักกันดีๆ ชั่วฟ้าดินสลาย คู่รักควรจะต้องประคององค์ประกอบของความรักทั้ง 3 ให้สมดุลกัน อย่าให้ขาด หรือเอียงไปทางใดทางหนึ่ง องค์ประกอบทั้ง 3 นี้ ก็คือ

1. Intimacy ความสนิทสนมคุ้นเคย
2. Passion ความหลงใหลในเสน่ห์เป็นปลื้ม และ
3. Commitment มีพันธะต่อกัน

องค์ประกอบทั้ง 3 นี้ หากขาดตัวใดไปบ้างก็ยังรักกันอยู่ แต่อาจจะรู้สึกขาดอะไรบางอย่างไป

คนในสมัยโบราณ แต่งงานด้วยการคลุมถุงชน ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน อาจเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วย พันธะ คือ มีข้อผูกมัดโดยผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายว่าต้องมาอยู่ด้วยกัน แต่อยู่ๆ กันไปก็เริ่มคุ้นเคย และเริ่มปิ๊งกัน และรักกันไปเอง

บางคู่เป็นเพื่อนสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก่อน เจอกันบ่อยๆ ก็เลยปิ๊งกัน และตกลงปลงใจที่จะอยู่ด้วยกัน

บางคู่ยังไม่คุ้นเคยกัน อาจปิ๊งกันบ้าง หรือปิ๊งตอนเมา เลยเผลอมีอะไรกันจนเกิดพันธะ คือ มีลูกเกิดขึ้นก็เลยต้องอยู่ด้วยกัน

บางคู่คุ้นเคยกัน รักกัน แต่ต้องแยกกันอยู่ เพราะทำงานกันคนละจังหวัด หรือคนละประเทศ นานๆ จะเจอกันที

คู่ไหนจะรักษาความรักให้ยืนยาวได้ ก็ต้องมองให้ออกว่าองค์ประกอบไหนไม่สมดุลหรือขาดหายไป ต้องพยายามเติมให้สมดุล เช่น คู่ที่รักกัน อยู่ด้วยกันดี แต่ขาดพันธะ ก็ควรคุยกันดูว่าทั้งคู่มีความต้องการ หรือมีความสนใจอะไรที่เหมือนกัน อาจร่วมกันสร้างสิ่งผูกมัดร่วมกัน เช่น มีลูก หาสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยง ลงทุนทำธุรกิจร่วมกัน ซื้ออสังหาริมทรัพย์ร่วมกัน ทำวิจัย หรือสร้างผลงานร่วมกัน ฯลฯ


ที่ยกตัวอย่างมานี่ ไม่ได้หมายความว่าต้องสร้างข้อผูกมัดในทุกเรื่อง เพราะหากมากไปจะอึดอัดกันได้ และความรักแทนที่จะสมบูรณ์ อาจกลายเป็นชนวนของความร้าวฉานแทน และที่สำคัญข้อผูกมัดทั้งหลายต้องเกิดจากความเต็มใจ และเห็นพ้องต้องกันทั้งคู่ ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเห็นชอบมากกว่า อย่างการมีลูก หรือเลี้ยงสัตว์ หากฝ่ายหนึ่งต้องการมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง หรืออีกฝ่ายหนึ่งยอมตาม ความอึดอัดจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นและรอวันระเบิด ดังนั้น จะผูกมัดอะไรกัน ขอให้มีสติคุยกันดีๆ อย่าพยายามครอบงำอีกฝ่ายหนึ่งให้เห็นพ้องกันกับเรา ขอให้เห็นชอบร่วมกันจริงๆ

คู่รักที่สนิทสนมคุ้นเคยกัน รักกันดี มีข้อผูกมัดที่เหมาะสม แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป หากไม่รู้จักเติมความหวานชื่นให้กันและกัน ปล่อยเนื้อปล่อยตัว เพราะคิดว่าแก่ๆ กันแล้ว เห็นๆ กันอยู่ ไม่รู้จะสวยหล่อไปทำไม อย่างนี้ความรักจืดจางแน่นอน

ดังนั้นใครรักกันนานแล้ว ลองฝากลูกไว้กับพี่เลี้ยงแล้วควงแขนไปเดตกันบ้าง หรือแก่แล้ว ลองควงคู่เดินทางท่องเที่ยวกันสองคนตายาย ไม่ต้องให้ลูกพาไป คู่สมรสที่ลืมเติมความหวานให้แก่กันและกัน พอแก่เกษียณแล้ว เห็นนั่งอยู่บ้านหายใจไปวันๆ ไม่รู้จะคุยอะไรกันก็มี ส่วนคู่ที่รักหวานชื่นและมีข้อผูกมัด แต่ต้องแยกกันอยู่ ก็อย่าคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่รับได้ ควรมีการติดต่อสื่อสารใกล้ชิดกันอย่างสม่ำเสมอ เช่น โทรหรือไลน์คุยกันทุกวัน และควรสรรหาเรื่องมาคุย ไม่ใช่พูดหรือถามประโยคเดิมๆ นัดวันหยุดให้ตรงกันจะได้อยู่ด้วยกัน ฯลฯ

การครองรักเป็นศิลปะเฉพาะตัวของคนสองคน ใครอยากมีความรักแบบใดก็ต้องออกแบบและตกลงกันเอง แม้แต่ผู้ที่ไม่มีคู่รัก ก็ยังต้องรู้จักรักตนเอง ควรดูแลเอาใจใส่ตัวเอง ให้รางวัลตัวเองบ้าง มองตนเองในแง่ดี ชื่นชมตนเอง ทำตัวให้มีค่าต่อผู้อื่นด้วย ขอให้โลกนี้เต็มไปด้วยความรักนะคะ


เครดิต ครูเคท  (KruKate Counseling Center )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น