วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

TIMELINE จดหมาย-ความทรงจำ - จาก THE LETTER จดหมายรัก โดย ศิวพร ไตรภพ

TIMELINE จดหมาย-ความทรงจำ - จาก THE LETTER จดหมายรัก

26 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 9:20 น.
แม้ว่า Timeline จะไม่ใช่ภาคต่ออย่างเป็นทางการของ The Letter
แต่ก็เป็นที่รู้กันว่ามันคือภาคต่อนั่นแหละ ส่วนหนึ่งก็สะท้อนมาใน Timeline


สิ่งที่เชื่อมต่อหนัง 2 ภาค ได้เป็นอย่างดี คือ จดหมาย และ ต้นบ๊วย

  • คำถาม-เป็นภาคต่อกันไหม
  • คำตอบ เหมือนจะใช่ แต่ติดเรื่องลิขสิทธิ์ เลยใช่ชื่อเดิมไม่ได้ The Letter

เรื่องราวจะเป็นรุ่นพ่อ-แม่(ดิว-ต้น) จบถึงแค่เริ่มมีลูก(ตั้ม)
แต่ Timeline จะเป็นเรื่องราวรุ่นลูก(แทน)
ที่มีผลต่อเนื่องมาจากรุ่นพ่อแม่(มัท-ทัน)

จาก Letter สู่ Timeline  

The Letter เป็นหนังรักโรแมนติกที่ถ่ายทอดเรื่องราวของความรักผ่าน "จดหมาย" 
แม้ว่าเรื่องมันจะเศร้า แต่สิ่งสำคัญคือคนที่อยู่ข้างหลังยังต้องก้าวต่อไป
และสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนข้างหลังก้าวต่อไปได้ ก็คือ "สื่อกลาง"
ที่คนที่จากไปทิ้งไว้ให้ ใน The Letter จดหมายคือสื่อที่คนจากไปส่งให้คนที่ยังอยู่


ใน Timeline สื่อนั้นถูกอัพเกรดให้ทันสมัยมากขึ้นด้วยการใช้ "Facebook" (นั่นคือที่มาของชื่อ Timeline)   Facebook ที่เป็นสื่อสมัยใหม่ ดูฉาบฉาย ไม่จริงใจ (ถ้าจำได้ใน The Letter ก็ค่อนข้างมองพวกสื่อออนไลน์เหล่านี้ในแง่ลบ) กลายเป็นสื่อที่โรแมนติกและน่าประทับใจได้


  • ไม่สำคัญที่ว่าจะเป็น "จดหมาย" หรือ "Facebook" 
  • เพราะสุดท้ายแล้วความสำคัญของทั้ง 2 อย่างก็คือ "สื่อกลาง"
  • ที่เป็นตัวแทนในการถ่ายทอด "สาร/ความรู้สึก" ของ "คนส่ง" ไปยัง "คนรับ"
  • ในห้วงเวลาที่คนส่งไม่กล้า/ไม่มีโอกาสที่จะพูดต่อหน้าด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม แม้ Timeline จะชู Facebook เป็นตัวหลัก
แต่ก็ใช่ว่าจะละทิ้งจดหมายไปเลยเสียทีเดียว
เพียงแต่เปลี่ยนบทบาทจากเดิมจดหมายคือสิ่งที่คนที่จากไปส่งให้คนที่ยังอยู่


แต่บทบาทนี้ Facebook ได้รับหน้าที่แทนไปแล้ว  ในเรื่องนี้จดหมายจึงเป็นสิ่งที่
"คนที่ยังอยู่ส่งให้กับคนที่จากไปแล้ว"แทน
เป็นการพลิกบทบาทที่เพิ่มความซึ้งและความประทับใจได้มากทีเดียว


การเขียนจดหมายถึงคนที่จากไปนี่มันเศร้านะ เพราะคนที่เราอยากให้อ่านไม่ได้อยู่แล้ว
มันคงไม่ต่างกัน....กับชีวิตตอนเด็กๆ ของฉันที่เฝ้าแต่เขียนบันทึก....ถึงพ่อที่ตายจากไป


สิ่งที่ตามหา/ไกลแค่ไหนคือใกล้ ในแง่ความรัก Timeline จะต่างจาก The Letter ตรงที่
ขณะที่ภาคก่อนเป็นโรแมนติกที่สมหวังซึ่งจบด้วยการจากลา ภาคนี้กลับไม่ค่อยมีช่วงเวลาที่สมหวังนัก
แต่เป็นความรักแบบ "แอบรัก" เสียมากกว่า ตรงนี้ทำให้นึกถึง Season Change


คำถาม
เมื่อรู้ว่าไม่สามารถใกล้ได้แล้ว เรายังจะควรหาทางต่อไปอีกมั้ย 

ใน Timeline เหมือนจะบอกเราว่าทำต่อไปเถอะ
ต่อให้ไม่ได้เข้าไปใกล้เลย แต่ตราบใดที่ยังมีความสุขกับการเดินทางก็ทำไปเถอะ 


คนที่พูดเรื่องนี้ได้ดีที่สุดในหนังน่าจะเป็น "วัฒน์"
ผู้ที่แอบชอบมัทมานาน แต่เขาก็เข้าใจดีกว่ามัทเองก็ยังมีทันในใจ
ดังนั้น  เขาจึงไม่บีบบังคับให้มัทรักและไม่หนีหายแม้รู้ว่ารักตัวเองจะไม่สมหวัง
วัฒน์ยังคงมอบความรักความหวังดีให้กับมัทอยู่เสมอๆ
แม้มันอาจจะยังอีกไกลกว่าจะเข้าไปใกล้ แต่เขาก็มีความสุขในการเดินทางของเขา

การเขียนบันทึกของฉันไม่ต่างอะไรจากหนังสองเรื่องนี้เลย...
มันคือ "สื่อกลาง" ในห้วงเวลาที่คนส่งไม่กล้า/ไม่มีโอกาสที่จะพูดต่อหน้าด้วยตัวเอง

ศิวพร ไตรภพ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น