วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2563

เมื่อคนเราตายไป

๑.   เมื่อคนเราตายไป วิญญาณก็จะออกจากร่าง และก็วนเวียนอยู่กับร่างนั้น ประมาณ ๗-๑๕ วัน ช่วงนี้เองครับ ที่คนอย่างเราๆ จะเห็นวิญญาณ เหล่านั้นได้ง่ายที่สุด เพราะเพิ่งตายภาพ  ลักษณ์สังขารยังคงยึดติดอยู่  (คนที่ได้รับบาดเจ็บ ป่วยหนัก อยู่ในอาการโคม่า ไม่มีสติ วิญญาณก็มีโอกาสที่ จะออกจากร่างได้เช่นกัน )

๒.  พอครบ ๗ วันวิญญาณเหล่านั้น ก็จะถูกยมฑูตนำตัว ไปรายงานตัวต่อ ยมบาล เพื่อพิจารณาพิพากษา ความดี ความชั่ว บุญ บาป ที่เคยกระทำมาเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่
      ซึ่งคำพิพากษา ก็จะออกมาเป็น ๓ ทางคือ
       ๒.๑  ถ้าทำบุญไว้มาก ก็จะได้ขึ้นไปสวรรค์
       ๒.๒ ทำบุญมากพอประมาณ ก็อาจถูกส่งให้กลับมาอยู่ในโลกหลังความตาย ที่ทับซ้อนกับโลกมนุษย์ เพื่อรอเวลาไปเกิด ต่อไป  ถ้าลูกหลาน ญาติทำบุญอุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลให้มากๆ ก็จะทำให้ได้ ไปเกิดเร็วขึ้น สำหรับดวงวิญญาณดวงใด ที่ยังคงมีความอาฆาตพยาบาท ก็อาศัยช่วงนี้แหละครับ ที่จะเอาคืน แต่ก็อยู่ในขอบเขตบ่วงกรรม ที่ทำกันไว้ จะไม่ลุกลามไปยุ่งกับผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง โดยเด็ดขาด
       ๒.๓ ถ้าทำกรรมชั่ว ไว้มาก ก็จะต้องตกนรกรับผลกรรมที่เคยกระทำมา โดยที่เราไม่สามารถติดต่ออะไรกับ พวกเขาได้เลย ต้องรอวันพระ ถึงจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่ได้ทุกครั้ง ทุกตน ที่จะได้รับอนุญาต ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับกรรมที่เขาได้ทำไว้

๓.  ส่วนที่เราเรียกกันว่า ผี ก็คือวิญญาณที่ อยู่ในกลุ่มที่ ๒.๒ หรือ ๒.๓ นี่แหละครับ ซึ่งผมได้เขียนไว้แล้วใน บทความเรื่องของผี ที่คนไม่ค่อยรู้ ดวงวิญญาณกลุ่มนี้น่าสงสารนะครับ เขาต้องหิวโหย รอคนทำบุญไปให้ ซึ่งเขาก็สามารถกินอาหารที่เราทำบุญไปให้ ได้ไม่เกิน ๒ วัน แต่ถ้าตัวเขาตอนที่มีชีวิตอยู่ ทำบุญตักบาตร ถวายพระด้วยจิตที่บริสุทธิ์ และทำกรรมดีไว้มาก  เขาก็จะสามารถกินอาหารที่เคย ทำบุญไว้ได้อย่างไม่จำกัด  แต่ถ้าทำบุญด้วยจิตที่ไม่บริสุทธิ์ หรือไม่สงบนัก ก็จะทำให้จำนวนครั้งที่กินได้ น้อยลงไป และมีโอกาสหมดไปได้

๔.  ทำบุญแล้ว ต้องอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ด้วยนะครับ อุทิศให้ครบทุกภพ ไม่ว่าจะเป็น พรหมโลก เทวโลก มนุษย์โลก ยมโลก สัตว์โลก ทุกท่าน ทุกตน ทุกคนเลยนะครับ ไม่ต้องห่วงว่า จะไม่ทั่วถึงกันนะครับ เท่าที่ทราบคือ ท่านทั้งหลายนั้น จะได้รับเท่ากัน เหมือนกันหมด ครับ

๕.  วิญญาณที่มีลูกหลานคอยทำบุญ คอยระลึกถึง หรืออนุญาตให้อยู่ในบ้านได้ก็จะสบายกว่า  พวกวิญญาณเร่ร่อน ที่ไม่มีที่สิงสถิตย์ ต้องนอนข้างถนน ตากแดด ตากฝน อย่างน่าทุกขเวทนา 

ที่มา http://www.horapayakorn.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539239199
                       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น